ในผืนป่ามีต้นน้ำ (จบ)

ตอนที่ 1

Chapter 1

เสียงเครื่องปรับอากาศเป็นสิ่งเดียวที่ดังอยู่ภายในห้องนอนขนาดกลางของ ต้นน้ำ เด็กหนุ่มตัวเล็กนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา เจ้าตัวเป็นคนขี้หนาวแต่ดันชอบให้อากาศภายในห้องเย็นฉ่ำด้วยการเปิดแอร์ยี่สิบสององศา เพื่อจะได้ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา หรือเรียกได้ว่าเป็นเด็กติดผ้าห่มนั่นเอง เข็มนาฬิกาเดินทางมาจวบจนสายโด่งมากแล้ว แต่ร่างกายของต้นน้ำยังคงต้องการพักผ่อน ความเหนื่อยล้าจากการทำงานพาร์ทไทม์ สะสมจนทำให้คนหลับใหลไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อยในตอนเสียงนาฬิกาเริ่มปลุก และยังคงปลุกอย่างต่อเนื่องอยู่หลายครั้ง เสียงเหล่านั้นไม่สามารถเข้าไปถึงโซนประสาทของคนตัวเล็กได้

“ต้นน้ำ!! ต้นน้ำตื่นได้แล้วลูก!!”

เสียงหญิงสาววัยกลางคนตะโกนพร้อมเคาะประตูดังลั่นอยู่หน้าห้อง ทำเอาคนตัวเล็กรู้สึกตัวสะดุ้งตื่นทันที ดวงตาใสมองซ้ายมองขวาหาโทรศัพท์มือถือด้วยความลนลาน ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วกลับยิ่งเบิกโพลงขึ้นกว่าเดิม เมื่อมองตัวเลขบนหน้าจอมือถือบ่งบอกเวลาเจ็ดโมงยี่สิบนาที นั่นแสดงว่าเจ้าตัวกำลังจะไปโรงเรียนสาย

“ฉิบหายแล้วไงไอ้น้ำ!!”

“ต้นน้ำ ตื่นหรือยังคะ!!”

“ตื่นแล้วครับป้าสา!!”

ต้นน้ำลนลานหยิบรีโมทแอร์บนหัวเตียงมาปิด ขาเรียวรีบวิ่งตรงเข้าห้องน้ำทันที จัดการล้างหน้าแปรงฟันด้วยความรวดเร็วและเลือกที่จะไม่อาบน้ำ เพราะเขาเพิ่งชำระล้างร่างกายไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา หลังจากกลับมาจากการทำงาน มือเรียวหยิบหวีขึ้นมาสางผมสีน้ำตาลเข้มของตัวเองอย่างรีบร้อน ก่อนจะออกจากห้องน้ำมาแต่งตัวด้วยเครื่องแบบนักเรียนที่ไม่ได้ถูกระเบียบนัก กระดุมยังคงเหลือเม็ดบนสุด เนคไทสีกรมสัญลักษณ์ของชั้นมัธยมปลายปีที่หกถูกผูกไว้หลวมๆ เสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยดูไม่เหมือนเด็กนักเรียนเอาเสียเลย แต่ถึงแม้จะมีเวลาให้แต่งตัวมากกว่านี้ สภาพที่ออกมาของคนตัวเล็กก็คงไม่ได้ต่างจากเดิมสักเท่าไร

เมื่อจัดการกับกิจวัตรในยามเช้าเสร็จเรียบร้อย เด็กผู้ชายคนเดียวของบ้านหลังนี้ก็วิ่งลงมาจากชั้นสองด้วยความรีบร้อน ต้นน้ำก้าวเท้ายาวๆ เข้าห้องครัวเพื่อหยิบนมในตู้เย็นมาดื่มรองท้อง หันไปมองหญิงสาววัยกลางคนหน้าตาง้ำงอ ยืนกอดอกมองมาด้วยสายตาตำหนิ ดูท่าจะขุ่นเคืองเรื่องที่เขาก่อไว้เมื่อคืนและยังการตื่นสายในเช้านี้ ต้นน้ำทำใจดีสู้เสือเดินเข้าไปกอดออดอ้อนคนเป็นป้าพ่วงด้วยผู้ปกครองเพียงคนเดียวของเขา

“หน้าบึ้งเดี๋ยวไม่สวยนะครับป้าสา”

“ป้าบอกกี่ครั้งแล้วคะ ว่าอย่าหางานที่มันเลิกดึกขนาดนี้”

“คืนเดียวเองครับ เงินดีด้วยนะ”

“ต้นน้ำ” สาแกะมือเรียวของหลานชายจอมดื้อออก หันไปเผชิญหน้ากันก่อนจะลูบกลุ่มผมนุ่นเบาๆ “ป้าบอกแล้วไงว่าป้าเลี้ยงดูพวกเราได้สบายมาก อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะสอบปลายภาคแล้ว จะเรียนจบแล้วนะต้นน้ำ ไหนจะเรื่องเรียนต่อมหาลัยอีก ต้นน้ำได้เลือกที่เรียนไว้แล้วหรือยังคะ?”

“ต้นน้ำอยากทำงานหาค่าเทอมของต้นน้ำและน้องเอง ต้นน้ำบอกป้าสามาตลอดสามปี แล้วต้นน้ำก็ทำได้มาตลอดโดยไม่ส่งผลกระทบกับเกรดที่ออกมาเลยอย่าห้ามต้นน้ำเลยนะครับ ส่วนเรื่องเรียนต้นน้ำยังไม่ได้เลือกเลย”

“ป้าก็แค่…”

“สายมากแล้วครับ ต้นน้ำไปก่อนนะ”

ต้นน้ำโน้มตัวลงหอมแก้มป้าฟอดใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะรีบเดินออกจากห้องครัวทันที หากอยู่นานกว่านี้นอกจากจะสายแล้ว คงถูกป้าสาพูดกล่อมให้เลิกทำงานพิเศษในช่วงกลางคืนแน่ เหตุผลคงไม่พ้นให้กลับมาสนใจการเรียน ที่ผ่านมาผลการเรียนของเขาไม่เคยตกสักครั้ง เรียกได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเลยเสียด้วย แม้เขาจะเกเรไปบ้าง โดดเรียนบ้างบางครั้ง แต่ตอนเขาอยู่ในห้องเรียน เขาก็ตั้งใจเสมอ เป็นความโชคดีที่ตัวเขาหัวไวและเรียนรู้เร็ว การเรียนจึงไม่เคยเป็นปัญหา แต่ป้าสายังคงกล่อมให้เขาสนใจเพียงแค่การเรียน ให้สมกับการเป็นเด็กตามวัย

ขาเรียวชะงักหยุดอยู่ตรงทางเดินก่อนถึงประตูบ้าน มองกำแพงสีขาวโพลนถูกแต่งแต้มด้วยกรอบรูปใหญ่เด่นหราอยู่ เป็นรูปชายหญิงยืนโอบกอดกันด้วยความรัก ทั้งคู่ส่งยิ้มละไมให้ตากล้องได้บันทึกภาพ รอยยิ้มของหญิงสาววัยกลางคนในภาพเหมือนรอยยิ้มของเขาอย่างกับถอดแบบกันมา ลักยิ้มจากชายวัยไล่เลี่ยกันกับหญิงในอ้อมกอด ถูกพิมพ์ลงมาบนแก้มของเขาและน้องสาว แม้ของเขาจะมีเพียงข้างซ้ายแต่ก็ถือว่าได้รับมาเช่นกัน

“พ่อครับ แม่ครับ ต้นน้ำไปเรียนแล้วนะ”

ต้นน้ำออกจากบ้านมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อน เหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตของเขาและน้องสาวเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อนึกย้อนกลับไป ในตอนนั้นเขายังคงใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไป ตื่นเช้าไปโรงเรียน กลับบ้านทำการบ้าน วิ่งเล่นกับเพื่อนตามภาษาเด็กผู้ชาย แต่แล้วในคืนวันเกิดของเขาสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ในระหว่างทางกลับบ้านของพ่อและแม่พร้อมกับเค้กวันเกิดก้อนโต เค้กแสนอร่อยที่แม่เขาตั้งใจทำให้ในทุกๆ ปี มันคงดีถ้าหากเค้กก้อนนั้นมาถึงมือเขา มันคงดีถ้าหากนั่นไม่ใช่การทำเค้กครั้งสุดท้ายของแม่เขา อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทุกเวลา เขาย้ำเตือนกับตัวเองเสมอ ตั้งแต่มันพรากชีวิตของพ่อและแม่เขาไปตลอดกาล

จากไปโดยไม่ได้แม้แต่บอกลากัน

“เลิกคิดๆ” ต้นน้ำถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นขึ้นมารับสาย ไม่ต้องดูก็รับรู้ได้ทันทีว่าปลายสายเป็นใคร “ว่าไงระริน”

“พี่ต้นน้ำจะมาโรงเรียนได้หรือยังคะ!!”

“กำลังไปแล้วครับคุณน้องสาว” ต้นน้ำตอบพร้อมทั้งเข็นจักรยานจ่ายตลาดของป้าออกมาหน้าบ้าน “กระเป๋านักเรียนพี่เธอเอาไปไว้ให้บนห้องเรียนให้แล้วใช่ไหมครับ?”

“ก็ใช่น่ะสิคะ เพราะรินรู้ว่าพี่จะมาสายไง”

“เข้าเรียนตั้งแปดโมงครึ่ง”

“นี่ไม่คิดจะเข้าแถวเคารพธงชาติบ้างเลยใช่ไหม?”

“โรงเรียนอยู่แค่หน้าหมู่บ้าน ไปทันอยู่แล้วครับคุณน้องสาว”

“รีบมาเลยนะคะ อีกสิบนาทีจะเข้าแถวแล้ว”

“ครับๆ”

ต้นน้ำตัดสายจากน้องสาวก่อนจะรีบออกตัวปั่นจักรยานทันที มือเรียวข้างหนึ่งบังคับแฮนด์จักรยาน ส่วนอีกข้างหนึ่งถือกล่องนมยกขึ้นกระดกดื่มโรงเรียนไม่ได้ห่างจากบ้านเขาสักเท่าไรนัก เรียกได้ว่าใกล้มากเลยทีเดียว ด้วยความที่เป็นโรงเรียนเอกชนและคริสต์ ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องการเข้าแถวเคารพธงชาติสักเท่าไร เขาจึงไม่กังวลหากไปเข้าแถวไม่ทัน แต่นั่นก็ใช่ว่าเขาจะนิ่งนอนใจได้ เพราะมีสารวัตรนักเรียนคอยตรวจตราอยู่เสมอ หากพบว่าไม่เข้าแถวแล้วมีการจับกลุ่มมั่วสุม จะถูกลงบันทึกประจำวันทันที

เมื่ออยู่ภายในรั้วโรงเรียนแล้วคิดจะไม่เข้าแถว ทุกคนจะต้องมีงานในมือให้จัดการ หรือมีอาการไม่สบายเล็กน้อย สามารถนอนพักให้ถึงเวลาเข้าเรียนได้ต้นน้ำเองก็ใช้เหตุผลนี้ในการแอบพักสายตาบ่อยครั้ง แต่การเข้าแถวนั้นก็มีผลดีต่อตัวบุคคล เพราะหากเข้าแถวนักเรียนคนนั้นจะได้รับคะแนนจิตพิสัย นั่นคือเหตุผลที่น้องสาวเขาย้ำเตือนให้คนคะแนนจิตพิสัยเกือบติดลบอย่างเขาเข้าแถว

“ง่วงฉิบหาย ของีบสักยี่สิบนาทีแล้วกัน”

ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีต้นน้ำก็ปั่นจักรยานมาจนถึงเป้าหมาย จัดการจอดจักรยานไว้ที่ประจำด้านหลังโรงเรียน ก่อนจะปีนกำแพงหนาข้ามไป เขาได้มีการแอบเอาเก้าอี้มาวางทิ้งไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ การเดินทางจากบ้านมาถึงโรงเรียนมันใกล้กว่าถ้าหากเข้าทางด้านหลัง คนตัวเล็กเดินผ่านทางหลังอาคารเรียนเพื่อหาที่เงียบสงบให้ได้พักสายตาเสียหน่อย ศาลาตั้งอยู่มุมสวนด้านหลังโรงเรียนเป็นสถานที่ที่ถูกเลือก ขาเรียวก้าวเข้าไปก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเหยียดตัวใช้แขนข้างหนึ่งหนุนนอนแทนหมอน อีกข้างยกขึ้นมาปิดตาบังแสงรบกวนจากดวงอาทิตย์ เพียงแค่หลับตาลงรับลมเย็นๆ ในตอนเช้าไม่นาน เขาก็เข้าสู่ห้วงนิทราทันที

และดูท่าการพักสายตาครั้งนี้

มันจะนานไปเสียหน่อย

กริ๊งงงงงงงงงงง

“เหี้ย!!”

เสียงสัญญาณหมดคาบเรียนดังลั่น ทำเอาคนตัวเล็กนอนฝันหวานอยู่สะดุ้งตื่นเต็มตา คนขี้เซารีบดูเวลาก่อนจะพบว่าตอนนี้ล่วงเลยมาจนหมดคาบเรียนที่หนึ่งเรียบร้อย มือเรียวยกขึ้นมาขยี้ผมอย่างหัวเสีย ดูท่าคนตัวเล็กจะเพลียจากการทำงานมากพอตัว และคงจะต้องหาทางออกจากสถานการณ์ตอนนี้ให้ไวที่สุด หากกลับเข้าเรียนยังไงก็อาจจะถูกเช็กขาดอยู่ดี ถ้าเป็นอย่างนั้นคงต้องเลือกอีกหนทางหนึ่ง

“โดดเรียนแม่งเลยแล้วกัน”

ต้นน้ำตัดสินใจลุกเดินลัดเลาะกลับไปยังจุดเดิม จุดที่จอดจักรยานทิ้งไว้ มองกำแพงหนาสูงอย่างหนักใจ ตอนเข้ามานั้นมีตัวช่วยอย่างเก้าอี้ให้ปีนป่ายข้ามมาได้อย่างสบาย แต่จะให้ปีนออกไปโดยไม่มีเก้าอี้ ดูท่าจะทำเอาลำบากพอตัว กำแพงตรงหน้าสูงกว่าลำตัวเขาอยู่หลายสิบเซนติเมตรเห็นจะได้ แต่หากไม่ลองดูสักตั้งคงไม่รู้ และคงไม่มีวิถีทางที่จะออกไปข้างนอกได้ 

“เธอ!! ทำอะไรน่ะ!!” เสียงทุ้มจากทางด้านหลังเรียกคนตัวเล็ก

“ฉิบหายแล้วกู” ต้นน้ำสบถเมื่อหันไปเห็นครูท่านหนึ่งกำลังเดินเข้ามา

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!! อยู่ชั้นไหนห้องอะไร!!”

“บอกก็โง่สิวะ”

ต้นน้ำรีบถอยหลังห่างจากกำแพงระยะหนึ่ง เรียวขาออกตัววิ่งเข้าใส่กำแพง กระโดดใช้เท้าปีนกำแพงขึ้นไปด้วยแรงทั้งหมด แม้ขนาดตัวจะเล็กกว่ามาตรฐานเด็กผู้ชายอยู่นิดหน่อย แต่เขาก็มั่นใจในพละกำลังที่มี ส่วนสูงร้อยหกสิบเก้าเซนติเมตร จึงไม่ได้เป็นปัญหากับการโดดเรียนในครั้งนี้

“เหี้ย!!”

เพราะตกลงมาจากที่สูงจึงทำให้ต้นน้ำเสียหลักไปเล็กน้อย ก่อนจะหงายหลังล้มคะมำลงอย่างภาพในหัว เขากลับถูกมือหนาของใครบางคนช่วยดึงแขนเอาไว้เสียก่อน เมื่อตั้งหลักได้ต้นน้ำจึงรีบเงยหน้าขึ้นมองหวังจะกล่าวขอบคุณ แต่ทุกอย่างกลับชะงักนิ่งไป เมื่อเห็นการแต่งกายของคนตรงหน้า เขารู้ได้ทันทีว่าอยู่ในระดับชั้นเดียวกัน จากสีเนคไทที่เหมือนกัน แต่กลับไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย ผมสีดำสนิทปัดข้างถูกเซตจนเรียบแปล้ทั้งหัว แว่นกรอบสีดำหนาเตอะกระดุมทุกเม็ดบนเสื้อติดเรียงตัวสวยอย่างเป็นระเบียบ การแต่งกายที่เรียบร้อยจนน่าขนลุกสำหรับคนอย่างต้นน้ำ 

ดวงตาใสหยุดนิ่งจดจ่ออยู่กับบางสิ่ง สิ่งหนึ่งกำลังดึงดูดความสนใจ มันดึงดูดจนไม่อาจละสายตาไปได้ นัยน์ตาคมสีน้ำตาลอ่อน ในยามสะท้อนกับแสงแดดกลับดูเหมือนดั่งสีเหลืองทอง มันดูสวยงานเมื่อต้องแสง แต่กลับดูน่าเกรงขามจนขนลุกในคราเดียวกัน นิ่งสงบ แต่ยังสัมผัสได้ถึงความเด็ดเดี่ยวในแววตา ทั้งหมดนั้นทำเอาคนมองรู้สึกจมดิ่ง

“รออยู่ตรงนั้นอย่าไปไหนนะ!! เธอโดนดีแน่!!”

“เหี้ยแล้วไง”

ต้นน้ำเริ่มรู้สึกลนลานเมื่อได้ยินเสียงดุจากครูด้านหลังกำแพง ในตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจสิ่งรอบข้างเสียแล้ว สิ่งที่ควรทำในตอนนี้คือต้องหนีจากบริเวณนี้ให้ได้เสียก่อน ต้นน้ำรีบเดินไปยังจักรยานทันที เรียวขาหยุดชะงักเมื่อฉุกคิดบางสิ่งขึ้นได้ หากเขาไปแล้วปล่อยคู่กรณีคนนี้ไว้ ถ้าเจ้าตัวถูกซักถาม อาจสาวเรื่องราวมาถึงเขาได้

แบบนั้นมันคงไม่ดีแน่

“เห้ย ไอ้เด็กเนิร์ด”

“……”

ไร้ซึ่งการตอบรับจากร่างสูง คนตรงหน้าทำเพียงหันมาตามเสียงเรียก จ้องมองคนตัวเล็กนิ่งๆ หากไม่นับการแต่งกายที่เรียบร้อยจนน่าขนลุกนั่น ก็นับได้ว่าเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาดีพอสมควร รูปร่างสูงโปร่ง ความสูงต่างจากคนตัวเล็กถึงสิบเซนติเมตรเห็นจะได้ คนตัวเล็กมองร่างสูงแล้วได้แต่ตั้งคำถาม เจ้าตัวรู้จักเพื่อนต่างห้องอยู่ไม่น้อย ยิ่งการแต่งกายเป็นเอกลักษณ์ถึงขนาดนี้ ถ้าหากเคยผ่านหน้าผ่านตา แน่นอนว่าคนตัวเล็กจะต้องจดจำได้อย่างแน่นอนแต่ทำไมกลับไม่คุ้นหน้าเสียนี่

“มากับกู”

“……”

“ยืนนิ่งอยู่ทำไมวะ! บอกให้มากับกู ตามมาดีๆ ถ้ามึงไม่อยากเจ็บตัว”

ขายาวก้าวเดินเข้าหาคนตัวเล็กตามคำสั่ง ริมฝีปากอวบอิ่มกระตุกยิ้มเหมือนเยาะเย้ยบางสิ่ง แม้จะเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที แต่ต้นน้ำกลับเห็นทุกการกระทำของคนตรงหน้า และเขาเลือกที่จะไม่สนใจ ถึงจะติดใจกับรอยยิ้มเมื่อครู่อยู่ก็ตาม เอื้อมมือเรียวไปดึงกระเป๋าเป้ของร่างสูงมาสะพายไว้เองก่อนจะขึ้นคร่อมจักรยาน 

“ขึ้นมา”

“……”

“กูบอกให้ขึ้นมาไง”

“ไหวเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมมองขนาดตัวคนบนจักรยาน

“อย่ามาดูถูก เห็นกูแบบนี้กูต่อยมึงล้มได้แล้วกัน”

“อืม”

“หยุดเดี๋ยวนี้!!”

“ไอ้เหี้ย!!” เสียงคุ้นหูจากครูคนเดิมดังใกล้เขามาเรื่อยๆ เมื่อร่างสูงนั่งซ้อนท้ายลงต้นน้ำจึงรีบปั่นจักรยานออกไปทันที “ไอ้เหี้ย!! ทำไมหนักจังวะ”

“หึ”

“ขำอะไร!”

สายตาขุ่นเคืองจากคนตัวเล็กส่งปะทะคนซ้อนด้านหลัง ต้นน้ำเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่เอาร่างสูงมาด้วย และอีกสิ่งหนึ่งที่คิดผิดมากๆ คือการรั้นจะเป็นสารถี หากใจเย็นตั้งสติสักหน่อยแล้วดูขนาดตัวคนซ้อน น่าจะรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่สามารถรับไหวกับน้ำหนักคนที่ดูสูงมากกว่าร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร เป็นเด็กมัธยมปลายจริงหรือเปล่า เขาเริ่มไม่มั่นใจ……

“จะไปไหนครับ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นเมื่อพ้นจากโรงเรียนมาไกลพอสมควร

“โต๊ะสนุก” ต้นน้ำตอบด้วยเสียงหอบเหนื่อย

“ผมจะกลับไปเรียน”

“มึงมาสายขนาดนี้แล้วยังจะหน้าด้านเข้าไปอีกเหรอวะ”

“ผมลาไว้แล้ว”

“โดดเรียนสักวันไม่ตายห่าหรอก หรือถ้าจะกลับก็เดินกลับเอง”

“………”

หลังจากนั้นคนซ้อนด้านหลังก็เงียบมาตลอดทาง ใช้เวลาไม่นานนักทั้งคู่มาหยุดจอดยังเป้าหมาย สถานที่ที่คนตัวเล็กได้บอกไว้ ต้นน้ำเลือกจอดจักรยานไว้ในซอกซอยลับตาคน โยนกระเป๋าคืนเจ้าของมันแล้วเดินนำเข้าร้านมาทันที ที่นี่เป็นอีกแหล่งทำเงินของเขา ถึงแม้จะมาไม่บ่อยนักก็ตาม เขาไม่อยากหาเงินด้วยการเล่นการพนันสักเท่าไร การพนันมันมาพร้อมกับความเสี่ยง ถ้าหากไม่ได้เขาก็ต้องเสีย นั่นเป็นเหตุผลทำให้เขาไม่อยากเสี่ยงที่จะเสียเงิน

“เฮียบาสอยู่ไหม!!” ต้นน้ำตะโกนเรียกคนรู้จักทันทีที่เข้ามาถึง

“ไอ้บาสมีเด็กมาหา!!”

ชายคนหนึ่งในบริเวณนั้นอาสาตะโกนเรียก เฮียบาส ให้คนตัวเล็ก ก่อนจะเดินหายเข้าไปภายในห้องทำงาน คาดว่าคงจะเข้าไปตามคนที่ถูกเอ่ยเรียกเมื่อครู่ให้แขกตัวเล็ก ที่นี่เป็นสถานบันเทิงในช่วงกลางคืน ส่วนในช่วงกลางวันจะเปิดโต๊ะสนุกเกอร์ให้คนเข้ามาเล่น พื้นที่ร้านไม่ได้เล็กและไม่ได้ใหญ่มากนัก ช่วงกลางคืนบริเวณหน้าร้านถูกปรับเปลี่ยนเป็นสถานบันเทิง มีโต๊ะเรียงรายให้ได้นั่งดื่มแอลกอฮอล์ หรือที่ผู้คนมักเรียกกันว่าร้านนั่งชิล ความจริงแล้วตัวต้นน้ำเองอายุยังไม่ถึงเกณฑ์จะเข้าใช้บริการ แต่เพราะได้มารู้จักกับคนดูแลที่นี่อย่าง บาส จึงทำให้อะไรหลายๆ อย่างง่ายขึ้น

“วันนี้วันพุธมึงไม่ไปเรียนเหรอไอ้ต้น……”

“เป็นไรเฮีย?”

ชายหนุ่มหน้าตาคุ้นเคย ผิวสีแทนเข้ม รูปร่างสูงโปร่งสมส่วน หน้าตาดูดุดันเล็กน้อยเพราะหนวดเคราถูกไว้จนยาวนิดหน่อย เสียงทุ้มเอ่ยทักทายเด็กตัวเล็กไม่ทันจบประโยคกลับชะงักเงียบลง สีหน้าดูแปลกใจกับอะไรบางอย่างจนคนตัวเล็กสังเกตได้ สายตาคมมองผ่านร่างบางไป ดวงตากลมโตจึงหันไปตามสายตานั้น ทั้งคู่หยุดสายตายังคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ร่างสูงที่คนตัวเล็กเกือบลืมไปว่าได้พาเข้ามาด้วย

“ขอโทษนะเฮีย ขอให้มันอยู่นี่กับผมได้ไหม?”

“เออ กูไม่ได้ว่าอะไร แค่ตกตะลึงแฟชั่นของมันเฉยๆ ฮ่าๆๆๆ”

“รสนิยมใครรสนิยมมันน่ะเฮีย อย่าว่ามัน”

“เออๆ แล้ววันนี้มึงไม่มีเรียนหรือไง?”

“โดดมา ว่าจะมาหาเงินค่าเทอมที่เหลือ”

“เอาว่ะ สักเกมไหม?”

“รบกวนเฮียตั้งลูกเลย เดี๋ยวผมขอไปคุยกับเพื่อนใหม่ก่อน”

“เออๆ “

ต้นน้ำเดินกลับไปหาร่างสูงที่เขาพกติดตัวมาด้วย ปลายนิ้วเรียวสะกิดแขนแกร่งของร่างสูงให้หันมาสนใจตน แล้วเดินนำไปยังมุมหนึ่งของร้าน มุมโซฟาสำหรับนั่งพักหรือดื่มแอลกอฮอล์สำหรับช่วงเวลากลางคืน สีหน้าของร่างสูงยังคงเรียบนิ่งจนเขาไม่สามารถรับรู้ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ที่รู้แน่ชัดคงไม่ได้ยินดียินร้ายกับการถูกลากมาด้วยสักเท่าไร

“มึงนั่งรออยู่ตรงนี้นะ”

“……”

“กูขอเล่นสักตาแล้วตอนเที่ยงกูจะกลับไปส่งมึงที่โรงเรียน เห็นหน้ามึงแล้วสงสารว่ะ จะขาดใจตายห่าไหมถ้าไม่ได้เข้าเรียน”

“แล้วนายล่ะ?”

“ส่งมึงเสร็จกูค่อยกลับมาที่นี่ใหม่ กูคงไม่กลับเข้าเรียนแล้ว เข้าไปก็คงไม่ได้เช็กชื่ออยู่ดี มึงบอกว่ามึงลาไว้แล้วนี่ หาเหตุผลแก้ตัวไปแล้วกันที่เข้าช้า แต่อย่าบอกเรื่องกูเชียวนะ”

“……”

“ไม่งั้นมีเจ็บตัว”

ต้นน้ำชี้หน้าขู่คู่สนทนาก่อนจะทำหน้าตาขึงขังให้ดูน่ากลัวที่สุด แม้เขาจะดูท่าทางค่อนข้างเกเร แต่เขาไม่ได้มีรสนิยมในการใช้กำลัง ต่อยตีไปก็มีแต่เจ็บตัวเปล่าถึงจะได้ใช้มันอยู่บ้างบางครั้งตามประสาเด็กผู้ชายทั่วไป ต้องมีปากเสียงกับคนอื่นบ้างเป็นเรื่องธรรมดา และทุกครั้งเป็นตัวเขาที่ถูกเข้ามาหาเรื่อง ถึงแม้ตัวเขาจะเล็ก แต่พละกำลังกลับไม่ได้น้อยตามขนาดตัว ต้นน้ำเดินกลับไปยังโต๊ะสนุกเกอร์ ไม่วายหันไปเขม่นส่งท้ายให้ร่างสูงเพื่อขู่ทิ้งทวน

มันกลับไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด

ในสายตาคู่สนทนา

“เฮียเริ่มก่อนได้เลยไม่ต้องโยนเหรียญ”

“มันดูถูกว่ะ ไอ้เด็กนี่”

“ผมเปล่าดูถูกสักหน่อย แค่เห็นว่าอุตส่าห์ตั้งลูกให้”

“ฮ่าๆๆๆ เออๆ ” มือหนายกขึ้นมายีผมเด็กตัวเล็กด้วยความเอ็นดู “ถ้ากูยิงไม่พลาดอย่าหาว่ากูแกล้งมึงแล้วกัน”

“ครับ~”

“พี่ต้นน้ำ!!”

“……”

“ฉิบหายแล้วกู แม่มา”

เด็กผู้หญิงตัวเล็กหน้าตาคุ้นเคยกำลังเดินตรงเข้ามาหาต้นน้ำด้วยท่าทีโกรธจัด ไม่เคยคิดว่าการกลืนน้ำลายจะยากเย็นเท่าวันนี้มาก่อน ริมฝีปากบางทำได้เพียงส่งยิ้มไปให้เด็กสาวตรงหน้า แม้ในใจกำลังร้องโอดครวญหาทางแก้ตัว รู้ทั้งรู้ว่ายังไงคงหาคำแก้ตัวที่ดีไม่ได้ แต่สมองกลับสั่งการให้หาวิธีทางเอาชีวิตรอดให้ถึงวันพรุ่งนี้

“ระรินมาทำอะ โอ๊ยๆๆๆๆ”

“ทำไมทำตัวแบบนี้คะ!!” มือเล็กยกขึ้นหยิกหูพี่ชายเต็มแรง “รินอุตส่าห์คิดว่าที่หายไปไม่เข้าแถวเพราะเข้าไม่ทัน คงไปหาที่นอนแล้วคงจะขึ้นเรียน พี่ต้นน้ำนี่นะ!!”

“รินๆๆ ใจเย็นๆ ครับพี่เจ็บ”

“หึ!! ออกไปคุยกันข้างนอก!!”

“น้องสาวมึงเหรอต้นน้ำ” บาสถามขึ้นเมื่อเด็กสาวหน้าตาคล้ายคลึงกับต้นน้ำเดินออกไป “ดุฉิบหายเลยว่ะ”

“ใช่ดิเฮีย ผมไปรับกรรมก่อนนะ แล้วไว้จะมาใหม่”

“เออๆ โชคดีนะมึง เอาชีวิตรอดกลับมาให้ได้แล้วกัน”

“สาธุบุญว่ะเฮีย”

ต้นน้ำเดินตามน้องสาวหน้าตาจิ้มลิ้มเหมือนถอดแบบจากเขาออกมา จมูกรั้นๆ นั่นก็บงบอกได้ว่าดื้อเหมือนเขา ในบ้านเธอคือเป็นน้องสาวแสนน่ารัก แต่หากอยู่ในรั้วโรงเรียนเธอคือหัวหน้าสารวัตรนักเรียนจอมเนี้ยบ แม้จะอยู่เพียงมัธยมปลายปีห้า แต่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นหัวหน้าสารวัตรนักเรียนเสียแล้วและอีกหน้าที่หนึ่งของคนตัวเล็ก คือการคอยควบคุมพฤติกรรมของเขา

เมื่อต้นน้ำเดินออกมายังหน้าร้าน สบสายตาเข้ากับร่างสูงที่เขาพามาด้วย พร้อมทั้งสารวัตรนักเรียนหน้าตาคุ้นเคยอีกสองคนยืนรออยู่ ทั้งคู่ส่งยิ้มมาให้เขาเป็นสัญญาณว่า ขอให้โชคดี ทุกคนรู้ดีว่าเขาจะต้องเจอกับอะไรบ้างหลังจากนี้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดดเรียน และไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกน้องสาวตัวเองจับได้ 

“ไว้ไปคุยกันที่โรงเรียน ขึ้นรถเลยค่ะ” ระรินหันมาพูดกับพี่ชายแล้วเดินนำไปยังแท็กซี่ที่จอดรออยู่

“เดี๋ยวครับคุณน้องสาว พี่เอาจักรยานมาครับ เดี๋ยวพี่ตามไป”

“จะไม่หนีไปไหนใช่ไหมคะ?” ระรินสงสายตาจับผิดไปยังพี่ชาย

“ไม่หนีครับผม แล้วก็มีอีกเรื่องที่ต้องบอกเรา”

“จะแก้ตัวอะไรคะ?”

“เปล่าเลยครับคุณน้องสาว พี่จะบอกว่าเรื่องนี้หักคะแนนพี่คนเดียวนะ ไอ้แว่นตรงนั้นไม่เกี่ยวเลย พี่ลากมันมาเอง”

“พี่คิดว่ารินไม่รู้เหรอคะ ที่รินมาได้ก็เพราะพี่เขาแจ้งเข้ามาบอก อ้อ!! แล้วอย่าไปทำอะไรพี่เขาล่ะ ไม่อย่างนั้นน้องจะรายงานเรื่องนี้ให้ป้าสารู้แน่นอนค่ะ!!”

“……”

“กลับด้วยกันไหมคะ” ระรินหันไปถามคนร่างสูงที่ถ่ายรูปมาแจ้งในกลุ่มสารวัตรนักเรียน

“ไม่ครับ เดี๋ยวกลับพร้อมเขา” ร่างสูงชี้ไปทางคนตัวเล็ก

“งั้นกลับโรงเรียนแล้วเชิญที่ห้องสารวัตรนักเรียนหน่อยนะคะ”

“ครับ”

แท็กซี่ขับออกไปเรื่อยๆ จนลับตา ต้นน้ำหันหลังกลับมายังเป้าหมายที่เหลืออยู่ ขาเรียวก้าวยาวๆ เข้าไปถึงตัวร่างสูงด้วยความรวดเร็ว มือเล็กทั้งสองข้างกระชากคอเสื้อนักเรียนถูกระเบียบจนน่าหมั่นไส้ แรงกระชากเต็มไปด้วยความโกรธเคือง มันมากจนกระดุมเม็ดบนของร่างสูงขาดกระเด็นหลุดออกมา แรงกระชากรั้งร่างสูงให้โน้มเข้าหาตัวจนใบหน้าห่างกันเพียงคืบเดียว ทั้งคู่จ้องตากันอยู่อย่างนั้น นัยน์ตาสีดำสนิทลุกโชนไปด้วยความโกรธ มองนิ่งเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนยังคงนิ่งสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

“มึงชื่ออะไร”

“……”

ต้นน้ำเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ความโกรธวิ่งพล่านจนควบคุมร่างกายไว้ไม่ได้ ในความคิดแรกเขากลัวคนตรงหน้าจะถูกหางเลขไปด้วย จึงรีบแก้ต่างให้ทันที กลัวจะสร้างความเดือนร้อนให้ร่างสูงไปมากกว่านี้ กลัวว่าการกระทำของตนเองจะส่งผลกระทบต่อร่างสูง

ความเป็นห่วงทั้งหมดถูกพังทลายลง

หายไปพร้อมเงินค่าเทอมของเขาและน้องสาว

เพราะคนตรงหน้า

“กูถามว่ามึงชื่ออะไร”

“ผืนป่า”

“ไอ้ผืนป่า อย่าให้กูเห็นหน้ามึงที่โรงเรียนอีกเด็ดขาด”

“……”

“ไม่งั้น มึงเจอตีนกูแน่”

To be continued.

You can follow to read all the content in the app.

en_USEnglish