Between Gravity (จบ)

ตอนที่ 1

บทที่ 1

รดิศได้ยินเสียงปิดประตูเบา ๆ ในตอนที่ได้สติรู้สึกตัว เปลือกตาของเขาหนักอึ้งอย่างที่ทำให้ยากจะลืมตา ความแสบร้อนที่ช่องท้องกอปรกับความมึนงงที่ศีรษะทำให้ชายหนุ่มคำรามต่ำ เขาอยากจะนอนหลับตาอย่างนี้อีกสักพัก แต่พระเจ้าไม่ปรานีให้คนที่เมาค้างอย่างเขาเลยสักนิด เพราะทันทีที่ขยับตัวนอนตะแคง อาการแสบร้อนที่ช่องท้องก็ตีตื้นขึ้นมาถึงลำคอ

และใช่ อีกไม่กี่วินาทีมันจะระบายออกมาผ่านโพรงปากของเขา

ชายหนุ่มเม้มปากแน่น ผุดกายลุกขึ้นกะทันหันให้เรือนกายสันทัดซวนเซ หากสิ่งที่กำลังจะพุ่งออกมาทำให้สองเท้าเร่งก้าวไปยังประตูสีขาวภายในตัวห้องปลายสายตาทันเห็นเงาร่างของใครสักคนนั่งอยู่ด้านในสุดของห้องใกล้กับเตียง แต่ช่างมันก่อนเถอะ! ในเมื่อตอนนี้เขาพุ่งตัวมานั่งลงตรงหน้าชักโครกแล้วปลดปล่อยความร้อนคาวให้พุ่งออกมาไม่ยั้งจนแสบคอไปหมดแล้ว

เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองอาเจียนไปนานแค่ไหน แต่กว่ามันจะหยุดได้เขาก็รู้สึกโล่งไปทั้งท้อง แสบไปทั้งคอ และหมดเรี่ยวแรงจนไม่มีแรงแม้แต่จะตั้งคอตรง

รดิศหอบลมหายใจแล้วซบหน้าลงกับท่อนแขนที่พาดบนปากชักโครก รับรู้ถึงใครบางคนที่ยืนตรงกรอบประตูห้องน้ำที่ด้านหลัง

“คุณโอเครึเปล่าครับ?”

เวรเอ๊ย โอเคก็บ้าแล้ว! ตลอดชีวิตที่อยู่มา สามสิบสี่ปีของเขาไม่เคยเมาหัวราน้ำชนิดที่หลับล้มพับไปตอนไหนก็จำไม่ได้ แถมยังตื่นขึ้นมาก็ต้องมานั่งอาเจียนแทบตายอย่างนี้อีก

“พอไหว” เขาตอบอย่างหมดแรง ยังคงนั่งฟุบหน้าหอบหายใจที่ผ่อนเบาลงแล้วอยู่อย่างนั้น “มีอะไรกินบ้าง ไม่ — ขอน้ำอุ่น ๆ ได้ไหม”

ได้ยินคนข้างหลังตอบกลับมาเบา ๆ ก่อนจะเดินห่างไป เพราะอย่างนั้นแล้วชายหนุ่มจึงพยายามหยัดกายขึ้นยืน กดชักโครกแล้วก้าวเท้าไปยังอ่างล้างหน้าเขาพรูลมหายใจยาว ก้มหน้าลงรับน้ำที่ไหลลงมาโดยอัตโนมัติผ่านระบบเซ็นเซอร์ กลั้วปากล้างหน้าจนรู้สึกดีขึ้นจึงค่อยเงยหน้าขึ้นมา

รดิศทอดสายตามองร่างตัวเองในกระจก ผิวแก้มขาวกระจ่างของเขามีเลือดฝาดจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ยังหลงเหลือและฤทธิ์ของผลจากการเมาอย่างหนักเรียวคิ้วชายหนุ่มขมวดเล็กน้อยเมื่อมองไปยังด้านหลังของตัวเอง มันเป็นภาพของมุมฝักบัวและอ่างน้ำที่สะท้อนพาดบนกระจก

มุมอาบน้ำได้รับการตกแต่งด้วยกระเบื้องแกรนิตสีดำระยิบระยับ มันเข้ากับฝักบัวและอ่างอาบน้ำดูสะอาดสะอ้านที่เป็นสีดำเช่นเดียวกัน

เขาละสายตาจากภาพที่สะท้อนพาดบนกระจกแล้วเหลียวไปมองชักโครกที่นั่งพิงกายเมื่อครู่ ชักโครกก็สีดำเหมือนกัน

หลุบตาลงมองอ่างล้างหน้า เออ…ก็สีดำอีกนั่นแหละ

ส่วนตรงที่เขายืนอยู่ ผนังห้องได้รับการตกแต่งด้วยกระเบื้องแกรนิตสีขาวมุก มันดูระยิบระยับเหมือนไข่มุกจริง ๆ จะมีก็แค่หลังกระจกซึ่งเป็นมุมอ่างล้างหน้าที่กระเบื้องเป็นสีเดียวกับมุมอาบน้ำ

พื้นห้องน้ำทั้งห้องเป็นสีดำ

แล้วให้ตายเถอะวะ นี่มัน — ไม่ — ใช่ — ห้องน้ำ — ของ — เขา — โว้ย!

“ผมชงชาให้คุณนะครับ ออกมาดื่มหน่อยไหม”

เสียงทุ้มลึกดังแว่วมารั้งสติที่กำลังเกิดการช็อกกะทันหันให้กลับคืนอีกครั้ง คราวนี้รดิศครุ่นคิดว่าเสียงของอีกคนที่ได้ยินนั้นคุ้นเคยมากแค่ไหน และเมื่อเวลาผ่านไปราวหนึ่งนาที เขาจึงได้ค้นพบว่าเสียงทุ้มลึกฟังเซ็กซี่อย่างนั้น เขา — ไม่ — คุ้น — เคย — แม้ — สัก — นิด — โว้ย!

“ฉิบ–”

ชายหนุ่มสบถเสียงแผ่ว ยกมือขาวซีดที่เย็นเยียบขึ้นลูบหน้า เขาพยายามเพ่งสมาธิไปยังความทรงจำที่หลงเหลือจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ซึ่งมันก็น่าปวดหัวสิ้นดี

โอเค ก่อนหน้านี้เขาเดินทางไปที่ผับแห่งหนึ่งเพื่อร่วมปาร์ตี้สละโสดของน้ำค้าง เพื่อนผู้หญิงในกลุ่มที่สนิทกัน ตอนแรกเขาไม่ค่อยดื่มเท่าไหร่นัก แต่พอโดนเพื่อนปลุกอารมณ์ความดิบให้ออกมาผงาดค้ำผับ แอลกอฮอล์หลากยี่ห้อหลายชนิดก็ถูกเขาฟาดเรียบลงคอ

แล้ว…แล้วไงต่อวะ?

“คุณไหวแน่นะครับ ให้ผมช่วยอะไรไหม?”

รดิศจำไม่ได้เลยสักนิด สิ่งที่เขารู้คือตัวเองกำลังเต้นปล่อยแก่กับเพื่อน ๆ อยู่กลางฟลอร์ แล้วก็นั่นแหละ รู้ตัวอีกทีเขาก็ตื่นมาไร้แรงในห้องน้ำไม่คุ้นตา กับผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่คุ้นเสียงเลยสักนิดเดียว

“ผมโอเค จริง ๆ ก็ไม่ — บ้าเอ๊ย นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย!”

รดิศสบถ ไม่ได้ตั้งใจพูดกับคนแปลกหน้า และอีกคนที่ยืนตรงกรอบประตูด้านหลังก็เพียงแต่ยืนเงียบอยู่ครู่สั้น ๆ ก่อนจะเอ่ยปากแล้วค่อยเดินหายไป

“คุณคงยังไม่หายเมาดี ออกมาดื่มชาเถอะครับ เครื่องดื่มร้อน ๆ จะทำให้คุณดีขึ้นนะ”

ชายหนุ่มรับฟัง พยักหน้า พอรับรู้ว่าอยู่คนเดียวอีกครั้งก็ยกมือขึ้นขยี้กลุ่มผมสีเข้มที่เริ่มยาวรกหน้าขัดตา ขบเม้มปากล่างในตอนที่สำรวจผิวกายตัวเองผ่านกระจก มันไม่มีร่องรอยอะไร และเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งร่างกายไม่ว่าจะส่วนหน้าหรือหลัง

หมายความว่าเขาแค่หลับไปเฉย ๆ ใช่ไหมล่ะ?

ชายหนุ่มสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนผ่อนออกมาอย่างช้า ๆ รวบรวมสติแล้วหมุนตัวก้าวเท้าออกจากห้อง

ทันทีที่เหยียบย่างลงบนพื้นพรมนุ่มเท้า นัยน์ตาคู่กลมก็กวาดตามองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง

ห้องทั้งห้องตกแต่งในโทนขาวดำ มีเครื่องอำนวยความสะดวกหลาย ๆ อย่างและได้รับการจัดสรรแบ่งส่วนอย่างลงตัว อย่างที่ทำให้เขารู้ว่านี่คงจะเป็นห้องๆ หนึ่งในโรงแรมที่ไหนสักที่ เขามองเห็นรองเท้าผ้าใบตัวเองถอดวางเป็นระเบียบเคียงกับรองเท้าหนังมันวาว พอเบือนหน้าไปทางด้านในห้องก็ได้เห็นบาร์เครื่องดื่มเล็ก ๆ ด้านขวาของห้องเป็นเตียงผืนกว้างที่มีรอยยับยู่เฉพาะฝั่งที่เขานอน และคนคนเดียวที่อยู่ในห้องนี้ร่วมกับเขากำลังนั่งพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ดของแล็ปท็อปเครื่องหนึ่งบนชุดโต๊ะที่อยู่หลังบาร์เครื่องดื่มด้วยท่าทีผ่อนคลายราวกับเป็นห้องของตัวเอง

อีกฝ่ายละสายตาจากหน้าจอสว่างตรงหน้าแล้วคลายยิ้มบาง “มานั่งตรงนี้สิครับ ดื่มชาร้อนสักหน่อยนะ”

รดิศทอดสายตามองอีกฝ่ายด้วยท่าทีนิ่งสงบ มั่นใจว่าตัวเองดูนิ่งเย็นแม้ในใจจะกำลังร้อนรน เขาทบทวนตัวเองอีกครั้ง ร่างกายไม่มีรอยผิดปกติอะไร หน้าหลังไม่เจ็บเลยสักนิด ก็ใช่นี่ แต่ทำไม…ทำไมผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ถึงได้เปลือยบนอย่างนี้ได้วะ!

“คุณ…เป็นคนพาผมมาที่นี่เหรอครับ?”

เขาถาม และอีกฝ่ายก็เพียงแต่พยักหน้าขณะที่สายตาหลังกรอบแว่นทรงเหลี่ยมยังมองตรงไปที่หน้าจอ และเมื่อได้รับเพียงความเงียบอย่างนั้น รดิศจึงตัดสินใจก้าวตรงเข้าไปหา หย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ที่ตรงกับตำแหน่งถ้วยชาซึ่งยังมีควันสีจางลอยละล่อง

“จำอะไรไม่ได้เลยงั้นสิ ใช่รึเปล่าครับ?”

“อา–” รดิศครางอย่างสับสน ที่สุดก็ยอมรับ “ครับ ใช่ จำไม่ได้เลย”

อีกฝ่ายยิ้มอีกครั้ง เป็นยิ้มที่ราวกับจะปลอบประโลมคนเมาหนักอย่างเขาให้ผ่อนความตึงเครียดลงบ้าง แต่มันก็ยากเต็มทีเมื่อของที่กินเข้าไปถูกระบายออกมาหมดแล้ว แถมพอเรี่ยวแรงเริ่มกลับมาพร้อมสติที่รับรู้ว่าทั้งหมดตรงหน้าไม่ใช่สิ่งคุ้นใจเลยสักนิด รดิศก็คงต้องบอกตรง ๆ ว่ารอยยิ้มอย่างนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

“ผมเจอคุณเมาแอ๋อยู่ใกล้ ๆ บาร์เครื่องดื่ม” ชายหนุ่มแปลกหน้าเอ่ยขึ้นหลังจากวุ่นวายกับแล็ปท็อปอยู่ระยะเวลาหนึ่ง “ถามอะไรก็ตอบไม่ได้ แถมสีหน้าคุณตอนนั้นแย่มาก ๆ ผมไม่รู้ว่าคุณไปกับใคร ไม่รู้ควรจะส่งต่อให้ใคร ผมก็เลยพาคุณออกมาจากผับแล้วพามาที่โรงแรมนี้น่ะครับ”

“คือ…แค่พาผมมานอนพัก ถูกรึเปล่าครับ?”

คนได้รับคำถามยกยิ้ม มีรอยขบขันน้อย ๆ ผ่านม่านตา “เห็นผมไม่ใส่เสื้ออย่างนี้…คิดว่ายังไงล่ะครับ” ถ้อยคำถามส่งมาพร้อมเสียงที่เบาลงเล็กน้อย นัยน์ตาคู่นั้นทอดมองมาที่รดิศซึ่งกำลังพยายามเก็บสีหน้าที่แสดงถึงความตกใจแบบสุดขีดแต่ไม่มิดอีกครู่สั้น ๆ แล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม “ขอโทษถ้าผมกำลังทำให้คุณตกใจ ใช่ครับ ผมแค่พาคุณมานอนพัก”

รดิศถอนหายใจเฮือก ส่งสายตาไปยังร่างบนที่เปลือยเปล่า “แล้วทำไม?”

“เพราะเสื้อผมอยู่ที่คุณ”

คิ้วเข้มขมวดมุ่น เขาก้มหน้าลงมองอาภรณ์ที่สวมอยู่ก็ให้ได้อ้าปากค้าง จริงด้วย! นี่มันไม่ใช่เสื้อของเขา แต่เป็นเสื้อกล้ามสีดำที่มีกลิ่นแปลกไม่คุ้นเคยต่างหากเล่า!

ชายหนุ่มนั่งหลังตรง หันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาเสื้อผ้าตัวเองแต่ก็ไม่มี

“ทำไม เสื้อผมล่ะครับ? แล้วทำไมเสื้อคุณมาอยู่บนตัวผมได้”

รดิศอยากสบถสักสิบรอบ แต่ติดที่เสียงเคาะประตูที่เรียกความสนใจของทั้งเขาและอีกคน ชายหนุ่มตรงหน้าจุดยิ้มน้อย ๆ บอกเขาให้ใจเย็น ๆ นั่งดื่มชานิ่งๆ ให้ผ่อนคลายก่อนที่ตัวเองจะลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู ได้ยินเสียงทุ้มพูดอะไรสักอย่างเบา ๆ เพียงครู่ก่อนเสียงประตูปิดจะดังตามมา แล้วตามด้วยเรือนกายที่มีเพียงกางเกงสแล็กสีดำกลับเข้ามาอีกครั้ง

“ตอนที่มาถึงโรงแรมคุณอาเจียนใส่ผมน่ะครับ โชคดีหน่อยที่มันไม่ซึมไปถึงเสื้อกล้ามข้างใน ผมก็เลยเรียกแม่บ้านให้เอาเสื้อผ้าของเราลงไปซักที่จุดบริการแล้วถอดเสื้อกล้ามให้คุณสวมไว้…ผมถือวิสาสะเช็ดตัวให้คุณด้วย คงไม่ว่ากันนะครับ”

คำบอกเล่าด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ อย่างนั้นทำให้รดิศฉงนใจ หากเขาก็ยังรับเสื้อของตัวเองมาแล้วถอดเสื้อกล้ามส่งคืนให้คนตรงหน้า ชายหนุ่มสวมเสื้อยืดตัวเก่งที่หอมฟุ้งตามมาตรฐานของโรงแรมก่อนจะเม้มปากแน่น

รดิศไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสวมเสื้อกล้ามกลับตัวได้ง่าย ๆ อย่างนั้นก่อนจะสวมเชิ้ตสีดำทับตาม

แต่ช่างเถอะ…

“ผมขอโทษที่รบกวนคุณนะครับ ขอบคุณมาก ๆ ด้วยที่ช่วยเหลือ ส่วนค่าใช้จ่าย…”

“อ้อ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ พอดีผมมีกิฟต์วอชเชอร์ของที่นี่ ก็เลยเอามาใช้คืนนี้เลย”

คำว่าคืนนี้ฉุกใจคนที่ยกถ้วยชาขึ้นจิบนิด ๆ ได้ชะงัด ชายหนุ่มนิ่ง ประมวลผลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอื้อมคว้าข้อมือของอีกฝ่ายที่มีนาฬิกาข้อมือสวมอยู่อย่างถือวิสาสะ

“ฉิบหายเถอะ ตีห้าเหรอ!”

เขาปล่อยแขนของชายหนุ่มแปลกหน้าแล้วผุดกายขึ้นยืน มึนที่ศีรษะหน่อย ๆ แต่ก็ยังรีบร้อนมากเกินกว่าจะสนใจอาการที่เกิดขึ้นเพียงชั่ววูบ เขาเหลียวสายตาไปเห็นกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือวางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง พอก้าวไปถึงก็รีบหยิบเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง

และความเร่งรีบของเขาก็พานจะทำให้อีกคนรีบลุกขึ้นเก็บของด้วยเหมือนกัน

“ผมต้องไปแล้ว”

“เดี๋ยวผมไปส่งคุณแล้วกันครับ”

“ไม่ ไม่ครับ รบกวนคุณมากพอแล้ว ขอบคุณอีกครั้งนะครับ แต่ไม่ต้องไปส่งผม — นี่ผมพูดจริงนะเว้ย! คุณจะเก็บของตามผมทำไมเนี่ย!”

ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังเก็บของไปพลาง ถามเขาไปพลาง “ทำไมคุณถึงรีบนักล่ะครับ ยังไม่เช้าเลยนี่”

“แต่อีกสามชั่วโมงผมต้องส่งงานให้ลูกค้าไงคุณ และผมยังทำงานไม่เสร็จ ผมตายแน่!”

เวรเอ๊ย อยู่ ๆ เขาก็หัวเสียขึ้นมา จะด้วยเพราะนึกถึงงานที่กำลังจะต้องส่งหรือเป็นเพราะอีกคนที่รวบกระเป๋าใส่แล็ปท็อปตัวเองแล้วเดินตามมาที่ประตูก็เถอะรดิศไม่ใคร่ชอบคนที่ฟังเขาไม่รู้เรื่อง และตอนนี้อีกฝ่ายก็ดื้อดึงและกำลังทำให้เขาเสียเวลา!

“เดินยังจะไม่ตรงเลย อย่าดื้อครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”

หือ? “คุณพูดว่าอะไรนะ? อย่าดื้อ? นี่คุณพูดกับคนแปลกหน้าแบบนี้เหรอ! อายุเท่าไหร่วะคุณ”

“ผมอายุยี่สิบหก และคุณก็พูดวะเว้ยกับผมไม่ใช่เหรอครับ”

ฉิบ– เขาที่อายุมากกว่าอีกฝ่ายถึงแปดปีต้องเป็นภาระให้คนที่อายุน้อยกว่าออกค่าใช้จ่ายในปัญหาของเขาเนี่ยนะ?

“โอย อะไรก็เถอะ ผมรีบคุณเข้าใจไหม”

“เพราะงั้นก็บอกที่อยู่ของคุณมาแล้วกันครับ ผมจะไปส่งคุณเอง”

ไม่พูดเปล่า อีกฝ่ายยังกางแขนกั้นรดิศกับประตูบานหลักเอาไว้ ส่วนมือข้างที่ว่างก็ยกคีย์การ์ดให้มองเห็น บอกให้รู้ว่าเขาจะออกไปจากห้องนี้ไม่ได้ถ้าเจ้าตัวไม่ให้ความร่วมมือ

ฮึ่ม! “โอเค ๆ ไปส่งแล้วจบใช่ไหม เปิดประตู นำทางไปที่รถของคุณได้เลย ก่อนที่ผมจะสายไปมากกว่านี้!”

ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าจุดยิ้มพึงใจ ก่อนจะหันไปเสียบคีย์การ์ดเพี่อปลดล็อกประตู ในขณะที่รดิศเพียงสวมรองเท้าผ้าใบอย่างลวก ๆ แล้วกึ่งก้าวกึ่งฉุดอีกคนให้ก้าวตามอย่างเร่งรีบจริง ๆ

กิริยาของเขาทำให้คนอายุน้อยกว่าจุดยิ้ม ยอมก้าวเท้าให้เร็วตามคำโอดครวญที่อีกนิดจะกลายเป็นสบถหยาบคายอยู่รอมร่อ

รดิศผ่อนลมหายใจเมื่อขึ้นมานั่งบนรถแล้ว ทอดสายตามองออกไปนอกกระจกหลังจากบอกเส้นทางเรียบร้อย ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังร้อนใจมากอยู่ดีและนึกโทษไปถึงเพื่อน ๆ ที่ปล่อยให้เขาเมาจนไม่ได้สติแบบนี้แถมยังหายหัวกันทุกคน เพื่อนเวรเอ๊ย ให้ส่งงานเรียบร้อยและสร่างเมาได้ก่อนเถอะ เขาจะคิดบัญชีเรียงตัวอย่างหนักหน่วงเลย!

ชายหนุ่มคิดแค้นในอก ภาวนาให้ถึงจุดหมายเสียทีแม้รถจะออกตัวมาได้ไม่นานเท่าไรนัก แต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่าจะด้วยถนนโล่งว่างหรือเจ้าของรถคันนี้ที่เร่งความเร็วจนในที่สุดก็ถึงหน้าบ้านของเขาในเวลาที่ไม่ทำให้เขาต้องอกแตกตายในรถของคนแปลกหน้า รดิศก็ทำได้เพียงรีบลงจากรถแล้วตรงดิ่งเข้าบ้าน ไม่มีใจแม้แต่จะหยุดเล่นทักทายกับสีนวลที่ทั้งเห่าทั้งส่ายหางรัวเร็วต้อนรับกัน

ทุกอย่างกลับเข้าสู่ช่วงเวลาโค้งสุดท้ายของการทำงานทันทีที่เขาเปิดประตูห้องทำงานได้แล้วนั่งลงกับเก้าอี้ สมาธิพุ่งตรงไปยังหน้าจอที่สว่างขึ้นจากการเปิดใช้งาน ทั้งเสียงคลิกเม้าส์และแป้นพิมพ์ดังขึ้นสลับกันเป็นระยะไม่มีพัก ระหว่างนั้นเองก็มีคางอุ่น ๆ วางเกยบนเท้าของเขา ให้ได้รู้ว่าสุนัขคู่ใจขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนและคอยให้กำลังใจเขาผ่านน้ำหนักที่กดทับลงมา

ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีในตอนที่รดิศบันทึกงานชิ้นสุดท้ายเสร็จสิ้น ชายหนุ่มยังมีเวลาในการเปิดทวนชิ้นงานทุกชิ้นที่จะต้องรวมส่งในเช้านี้ เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีจึงจัดการอัปโหลดลงยังพื้นที่เก็บข้อมูลออนไลน์ และส่งเข้าอีเมลของลูกค้าในทันที ระบายลมหายใจยืดยาวยามเหลียวมองนาฬิกา ยังไม่เกินเส้นตาย…เขาส่งงานได้ทันเวลา

เพียงเท่านั้น ความง่วงก็เข้ากัดกินคนที่ใช้พลังงานไปกับการเร่งงาน รดิศผลักเก้าอี้ทำงานให้เลื่อนห่างออกไป ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเหยียดแล้วเอื้อมมือหยิบหมอนที่วางกองกับผ้าห่มชิดผนังมาหนุนโดยมีสีนวลนอนอยู่ข้างกัน พลันนั้นชายหนุ่มกลับนึกไปถึงผู้ชายที่ช่วยเหลือหิ้วปีกเขาจากในผับกระทั่งขับรถมาส่งกันถึงบ้าน นึกย้อนไปว่าได้ขอบคุณก่อนกลับเข้าบ้านหรือไม่ แล้วก็ได้ส่งเสียงเบา ๆ เมื่อตระหนักรู้ว่าเขาเสียมารยาทต่ออีกฝ่ายไป ก่อนหลับตาลงเมื่อรู้สึกว่าไม่มีอะไรฉุดรั้งเขาได้อีกแล้วนอกจากห้วงนิทราที่กำลังลุกลามไปทั่วทุกโสตประสาทของเขา

แต่ถึงอย่างนั้นรดิศก็ยังมีความคิดแวบเข้ามา ว่าบางทีนี่อาจเป็นเรื่องของบุญเก่าหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เขายังมีความโชคดีอยู่บ้างที่ได้เจอคนที่ดีอย่างชายหนุ่มที่มาส่งเขา แม้ไม่ได้คิดว่าต่อไปก็อยากให้ได้มีโอกาสเจอกันอีกครั้งก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคิดว่าตัวเองโชคดี และขอบคุณชายหนุ่มคนนั้นอยู่ในใจ…กระทั่งหลับไปในเวลาเพียงเสี้ยวอึดใจ

To be continued.

สามารถติดตามอ่านเนื้อหาทั้งหมดได้ในแอป