ฤดูร้อนครั้งสุดท้าย…แห่งคำสัญญา (จบ)

ตอนที่ 1

L A S T S U M M E R

ฤดูร้อนครั้งสุดท้าย…แห่งคำสัญญา

1

จำได้ไหม?

สัญญาที่เคยให้ไว้…ถึงแม้ตอนนั้นพวกเราจะอายุน้อยมาก

แต่ฉันก็จำได้ตลอดมาเลยนะ

แล้วกังหันล่ะ? 

ยังจำสัญญาของเราได้รึเปล่า?

ประตูรถประจำทางสีน้ำเงินเปิดประตูก่อนจะถึงป้ายรถเมล์ เด็กหนุ่มตัวสูงลุกขึ้นยืนอย่างระมัดระวังแล้วกระชับสายกระเป๋าเป้สีน้ำตาลใบใหญ่ที่สะพายอยู่มือขวาจับยัดลูกสุนัขสีน้ำตาลพันทางที่เพิ่งเกิดไม่กี่เดือนเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อแจ็คเกตบนอก และใช้มือที่เหลืออีกข้างหนึ่งจับราวเหล็กโหนตัวให้สามารถยืนอยู่กับรถประจำทางบุโรทั่งคันนี้ได้มั่นคง

คนขับรถเหลือบเห็นผู้โดยสารกำลังจะลงป้ายก็เหยียบเบรกเต็มแรงเพื่อให้รถจอดหน้าป้ายรถประจำทางพอดี

เด็กหนุ่มตัวสูงเซจนเกือบจะล้ม โชคดีที่เขากำราวเหล็กจนเส้นเลือดปูดโปนช่วยให้เขาไม่กลิ้งไปยังหน้ารถประจำทาง เมื่อเห็นว่ารถจอดสนิทแล้วเขาก็รีบหันไปคว้ากีต้าร์โปร่งที่วางอยู่บนที่นั่งมาถือเอาไว้และรีบก้าวลงจากรถทันที

รถประจำทางออกตัวอีกครั้ง เสียงเครื่องยนต์ที่น่ารำคาญค่อยๆ ไกลออกไปเรื่อยๆ กลิ่นน้ำมันและควันจากท่อไอเสียถูกสายลมยามบ่ายพัดลอยผ่านไปจนไม่เหลือกลิ่นเหม็นเหล่านั้น เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดกับอากาศที่แสนบริสุทธิ์และหาไม่ได้จากเมืองที่เขาเพิ่งจากมา ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบก็เห็นแต่ทุ่งหญ้าและภูเขาสีเขียวไกลสุดลูกหูลูกตา

“ซัมเมอร์นี้…เราคงต้องอยู่ที่นี่ใช่ไหม?”

เด็กหนุ่มก้มลงพูดกับลูกสุนัขตัวโปรดที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง ก่อนจะเดินตามถนนลาดยางที่ตรงเข้าไปในหมู่บ้านซึ่งอยู่ติดกับภูเขาลูกใหญ่

กังหันเป็นเด็กม. 5 ที่เผลอทะเลาะกับเพื่อนร่วมชั้นด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่นิสัยดื้อรั้นของกังหันจึงก็ไม่ยอมขอโทษคู่กรณีก่อนด้วย ผู้ปกครองจึงถูกเชิญไปโรงเรียนเพื่อรับทราบพฤติกรรมความรุนแรงของเขา แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปหลายเดือนแล้ว แต่พ่อและแม่ของเขาก็ยังอยากจะดัดนิสัยจึงส่งตัวลูกชายสุดดื้อมาให้อยู่บ้านป้าในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนนี้ กังหันค่อนข้างเกรงใจป้าคนนี้มาก อีกทั้งอยากให้กังหันมาคอยช่วยเหลือกิจการโรงแรมที่จะยุ่งในช่วงฤดูร้อนมากเป็นพิเศษ

“บ๊อก! บ๊อก!”

เสียงของสุนัขในกระเป๋าเสื้อของกังหันเห่าขึ้นมา ทำให้คนที่กำลังสนใจทัศนียภาพสองข้างทางหันมองไปตามสายตาที่ลูกสุนัขจ้องมองอยู่ แต่เขากลับมองไม่เห็นสิ่งใดเลย มีแค่ยอดหญ้าที่ปลิวไสวไปตามสายลม

“เห่าอะไรน่ะ เจ้าตัวดื้อ” กังหันพูดแล้ววางมือลงบนศีรษะของลูกสุนัขตัวเล็กและเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่าเดิม สัมภาระพะรุงพะรังที่นำมาทำให้เขาเหนื่อยจนอยากจะนอนพักเอาแรง ก่อนจะต้องถูกใช้งานอย่างหนักในโรงแรมของคุณป้า แม้ในความทรงจำตอนเด็กที่เขาเคยมาที่นี่จะเลือนราง แต่ก็พอจะจำภาพของโรงแรมที่แสนวุ่นวายได้เป็นอย่างดี

กังหันเดินจนเหงื่อท่วมไปทั้งตัว ไม่คิดว่าเวลากลางวันที่ไม่มีแดดจะทำให้รู้สึกร้อนขนาดนี้ แต่อาจจะเป็นเพราะเขาสวมแจ็คเกตตัวหนา

และแล้วกังหันก็มาถึงทางเข้าหมู่บ้าน ชายแก่ที่นั่งอยู่ในป้อมยามมองกังหันแล้วหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย เขายกมือกวักเรียกคนที่มาใหม่พร้อมข้าวของมากมาย

กังหันเดินเข้าไปหายามประจำหมู่บ้านด้วยความงุนงง หยุดยืนที่หน้าป้อมยาม ใช้เงาของหลังคาป้อมช่วยคลายร้อน ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยถามอะไรออกไป ชายแก่ที่สวมชุดยามสีฟ้าหม่นก็ยื่นขวดนน้ำเปล่าเย็นฉ่ำให้กับกังหัน

“เดินเข้ามาใช่ไหมล่ะ? เก่งมากๆ เอาน้ำไปดื่มก่อน”

“ขอบคุณครับ”

เด็กหนุ่มยิ้มกว้างและรับขวดน้ำมาถือเอาไว้ เขาวางกีต้าร์พิงกับป้อมยามและเปิดฝาขวดน้ำ ยกดื่มอึกใหญ่แก้กระหาย ก่อนจะรินน้ำใส่มือตัวเองและยื่นให้ลูกสุนัขที่โผล่หัวออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็คเกตได้ดื่มเช่นเดียวกัน

ลุงยามเห็นเด็กหนุ่มที่ป้อนน้ำให้สัตว์เลี้ยงตัวเล็กก็หัวเราะด้วยความเอ็นดู

“มาหาใครล่ะ? หรือว่ามาเที่ยว?”

“เออ… คุณป้าหนูเล็กครับ” กังหันตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง

ลุงยามพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า

“อ้อ! หลานของยายหนูเล็กนี่เอง เมื่อวานก็บอกลุงแล้วว่าหลานชายจะมาอยู่ช่วยงานในช่วงปิดเทอม ดูเป็นเด็กที่เอาการเอางานเหมือนกันนะเรา”

กังหันได้แต่ส่งยิ้มแห้งให้กับคำชมที่ได้รับตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากัน เขาก็จัดว่าหน้าตาสะอาดสะอ้านและดูเป็นเด็กดี แต่หัวดื้อชนิดที่ไม่มีใครห้ามได้พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วก็ยังติดนิสัยไม่ฟังใครอยู่เหมือนเดิม

“เดินตามถนนนี้ไปนะ โรงแรมอยู่สุดถนนเส้นนี้แหละ เออ! ถ้าไม่ไหวก็ขี่จักรยานของลุงไปก็ได้”

ลุงยามชะโงกหน้าออกมาแล้วชี้ไปยังจักรยานสีแดงคันเก่าที่จอดพิงอยู่กับเสาไฟฟ้าฝั่งตรงข้ามกับป้อมยาม

ดูจากสภาพแล้วจักรยานคันนี้คงไม่สามารถรับน้ำหนักสัมภาระของเขาได้ โดยเฉพาะโครงเหล็กที่เริ่มมีสนิท กังหันกลัวว่าปั่นจักรยานไปไม่กี่เมตรแล้วโครงจักรยานหัก เขาก็พกเงินมาไม่กี่บาท พ่อและแม่ส่งให้เขามาทำงานหาเงินที่โรงแรมของป้าเอง

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวเดินไปชมหมู่บ้านไปด้วยก็ดีครับ ผมไม่ได้มาที่นี่นานมากแล้ว”

ลุงยามพยักหน้ารับอีกครั้ง

“ก็ดีๆ ที่นี่ก็เปลี่ยนไปจากเดิมเยอะมาก เดินชมให้สนุกนะหลานยายหนูเล็ก”

กังหันผงกศีรษะรับแล้วจึงคว้าเอากีต้าร์มาถือเอาไว้ ก่อนจะออกเดินอีกครั้ง

ก้าวพ้นเขตทุ่งหญ้าเข้ามาในตัวหมู่บ้าน กังหันก็รับรู้ถึงอุณหภูมิที่ลดลงเล็กน้อย แม้จะยังคงมีแสงแดดในยามบ่ายส่องลงมา แต่สายลมเย็นยะเยือกที่ไหลจากภูเขาสูงก็ทำให้อากาศบริเวณนี้ไม่ร้อนจัด น่าแปลกที่บ้านแต่ละหลังยังคงเป็นบ้านแบบเก่า บางส่วนสร้างมาจากไม้ และบางหลังก็สร้างเป็นบ้านดินแบบโบราณ มีเพียงตู้ไปรษณีย์สีแดงที่ตั้งเป็นของหลงยุคหลงสมัยอยู่เพียงอย่างเดียว

เดินมานานกังหันก็เพิ่งฉุกคิดได้ว่าเขายังไม่พบใครอีกเลย บ้านทุกหลังปิดสนิทเหมือนเป็นเมืองร้าง ไม่มีการเคลื่อนไหวของสิ่งใดนอกจากตัวเขาเลย เด็กหนุ่มรู้สึกถึงสายลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่านร่างของตนเองไปอีกระลอก

“บ๊อก! บ๊อก! บ๊อก!”

กังหันสะดุ้งตกใจสุดขีดกับเสียงเห่าของลูกสุนัขในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง เขาไม่กล้าหันมองไปที่อื่น ทำเพียงจ้องพื้นถนนและจ้ำเดินอย่างรวดเร็ว ภาวนาให้เดินถึงโรงแรมของคุณป้าโดยเร็ว

“บ๊อก! บ๊อก!!” 

เสียงเห่าของลูกสุนัขยิ่งดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะเตือนให้เจ้านายรีบเดิน

กังหันกำรอบปากของสัตว์เลี้ยงสุดโปรดแล้วออกวิ่งเต็มฝีก้าว วิ่งผ่านบ้านที่ปิดสนิทแต่ละหลังไปอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดจะหันกลับไปมองที่ด้านหลัง เสียงฝีเท้าของตัวเองดังก้องไปทั่วถนน เสียงจักจั่นที่เริ่มร้องทำให้บรรยากาศโดยรอบยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ

จนกระทั่งมองเห็นโรงแรมไม้สามชั้นที่เหมือนกับในรูปถ่าย ป้ายชื่อของโรงแรมที่จำได้ขึ้นใจ แต่เมื่อไล่สายตามองลงมาหน้าประตูก็เห็นว่ามันปิดเอาไว้เช่นเดียวกัน

“ป้า!! ป้าหนูเล็ก! เปิดประตูให้หน่อย!!” กังหันตะโกนเสียงดังลั่น

เมื่อวิ่งมาถึงถึงประตูทางเข้า กังหันก็รีบวางกีต้าร์ลงกับพื้นและยกกำปั้นทุบประตูที่ปิดแน่นอย่างแรง ไม่กล้าหันมองกลับไปด้านหลังเพราะกลัวจะเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น หัวใจเต้นระรัวด้วยความหวาดกลัวและยิ่งทุบประตูแรงขึ้นเรื่อยๆ ประตูไม้เก่าสั่นราวกับจะพัง แต่กังหันก็ไม่ออมแรงเลย เขาเพียงจะฟังเรื่องผีในระหว่างนั่งรถประจำทาง ไม่คิดว่ามาถึงหมู่บ้านของป้าก็เจอดีเข้าให้ เขาจะต้องเอาชีวิตรอดไปเล่าเรื่องผีออกรายการเพื่อเอาเงินสองพันห้าร้ายบาท

“เฮ้ย!”

มือเย็นจับเข้าที่ไหล่ของกังหันอย่างแรง เด็กหนุ่มหยุดชะงักนิ่งไปทั้งร่างกายทันที หัวใจที่เต้นแรงเมื่อครู่ก็ยิ่งเต้นแรงกว่าเดิม เสียงจักจั่นต่างส่งเสียงร้องแข่งกันขึ้นมาจนน่ารำคาญ หากแต่ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว

“บ๊อก!”

“ไม่คิดจะหันหน้ามาทักทายกันบ้างเหรอ?”

เสียงของผู้หญิงชราดังขึ้นข้างหูของกังหัน สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่าน เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าควรจะคิดเอาเรื่องนี้ไปเล่าออกรายการในยูทูปอีกรึเปล่า?

เด็กหนุ่มตัวสูงวางลูกสุนัขตัวเล็กลงกับพื้นบริเวณทางเข้าของโรงแรมไม้ ก่อนจะทิ้งตัวนอนแผ่ลงกับพื้นไม้ที่เย็นสบายอย่างอ่อนแรง ไม่สนใจว่าจะขวางทางเดินเลย เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ยังคงตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อครู่ พลางไล่สายตามองเจ้าของเสียงหญิงสูงวัยที่กำลังถือกีต้าร์ของเขาเดินเข้าประตูมา เห็นสายตาตำหนิของป้าแล้วก็อดจะเบะปากไม่พอใจในใจไม่ได้

“เป็นบ้าอะไรของแก? ทุบประตูอย่างนั้น เดี๋ยวประตูก็พังหรอก” หนูเล็กเอ็ดหลานชายของตัวเองที่นอนขวางอยู่ทางเข้าของโรงแรม แถมยังเอาลูกสุนัขเดินย่ำไปมาบนพรมเช็ดเท้า พอจะรู้จากน้องสาวว่าหลานชายรักสุนัขมาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะพามาที่นี่ด้วย

กังหันจับลูกสุนัขขนสีน้ำตาลมาวางไว้บนอกของตัวเอง และขยับตัวให้ติดกับเก้าอี้เพื่อให้เจ้าของโรงแรมไม้เดินผ่านไปได้สะดวก

“ทำไมไม่มีใครอยู่ในหมู่บ้านเลยครับ? ผมก็นึกว่าจะโดนผีหลอกซะแล้ว”

ได้ยินคำตอบจากหลานชาย หนูเล็กก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมากับความคิดเพ้อเจ้อ

“ไม่ต้องหัวเราะเลยนะครับ” กังหันพูดดักเอาไว้ก่อน

เจ้าของโรงแรมเลิกคิ้วและให้คำตอบกับหลานชาย

“พอดีว่าวันนี้นัดประชุมหมู่บ้านกันน่ะ อีก 3 วันจะมีนักเรียนกลุ่มใหญ่มาตั้งค่ายฤดูร้อนกันที่นี่ พวกเราจึงต้องวางแผนรับมือกัน”

กังหันพยักหน้ารับเล็กน้อย แล้วหวนคิดถึงลุงยามที่เจอกันที่ทางเข้าหมู่บ้าน

“แต่ลุงยามไม่เห็นจะบอกเลยว่ามีประชุม”

“อ้อ! สงสัยแกคงจะลืม” หนูเล็กตอบอย่างไม่ใส่ใจ ตาแก่ที่เฝ้าหน้าหมู่บ้านทำได้ดีแค่บอกเส้นทางในหมู่บ้าน แต่เรื่องอื่นกลับหลงๆ ลืมๆ อยู่เป็นประจำ

กังหันระบายลมหายใจยาวออกมาด้วยความหงุดหงิด รู้สึกขายหน้าที่ตกใจกับจินตนาการของตัวเอง กังหันจับหูทั้งสองข้างของลูกสุนัขให้ตั้งขึ้นแก้เก้อ

หนูเล็กเห็นหลานชายที่กำลังเล่นกับลูกสุนัข ก็หวนคิดถึงคำพูดของน้องสาวที่โทรมาปรึกษาเธอบ่อยๆ กังหันเป็นเด็กผู้ชายที่หลงใหลสุนัขมากจนชกต่อยกับเพื่อนที่เข้าไปรังแกสุนัขที่อยู่ในโรงเรียน แม่สุนัขพยายามคาบลูกที่เพิ่งเกิดหนีกลุ่มเด็กที่ไปก่อกวนจนโดนรถทับตาย เหลือแค่เจ้าตัวเล็กอยู่ตัวเดียว กังหันจึงรับลูกสุนัขไปเลี้ยงเอง

ไม่คิดเลยว่าโตขึ้นมาแล้วจะกลายเป็นเด็กอบอุ่นอย่างนี้

“ที่โรงแรมของป้าไม่มีลูกจ้างคนอื่นแล้วเหรอ?” กังหันถามขึ้นอีกครั้ง กวาดสายตามองไปรอบๆ ก็ไม่มีเงาของคนอื่นเลย เงียบสงัดราวกับโรงแรมร้างในเรื่องเล่าผี

หนูเล็กหันมองหลานชายที่ยังคงนอนแผ่ขวางประตูทางเข้าอยู่

“มีลูกจ้างอยู่ 4 คน แล้วก็เป็นพวกเด็กนักศึกษาที่มาขอทำงานพิเศษช่วงปิดเทอมอีก 2 คน… คงจะมาวันพรุ่งนี้”

“อ้อ… ตอนนี้ลูกจ้างหายไปไหนกันหมด?” กังหันถามขึ้นมาอีกครั้ง

“ก็ยังประชุมกันอยู่น่ะ ป้าคิดได้ว่าแกน่าจะมาถึงแล้วถึงได้กลับมาที่นี่ แล้วก็เห็นแกวิ่งหน้าตาตื่นมาตั้งแต่กลางถนนโน่น” หนูเล็กเอ่ยขึ้นพร้อมทำท่าทางเลียนแบบหลานชายที่กำลังวิ่งหอบข้าวของมาที่โรงแรม

กังหันย่นจมูกอย่างไม่พอใจ

“ก็บรรยากาศมันหลอนจะตายไป ก็นึกว่าจะเจอดีเข้าให้แล้ว”

คำตอบของหลานชายทำให้หนูเล็กหลุดหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู

“ถ้าอยากจะเจอดีก็ต้องรอเจอตอนกลางคืนนะ”

“หะ! ที่นี่มีผีด้วยเหรอ?” กังหันถามขึ้นด้วยความแปลกใจและตื่นตระหนก แม้เขาจะไม่ใช่พวกขวัญอ่อนประสาทเสียกับเรื่องแบบนี้ แต่หากรู้ไม่ได้พบเจอเลยคงจะดีมากกว่า

หนูเล็กเลิกคิ้วเล็กน้อย

“จำไม่ได้เลยเหรอ?”

เด็กหนุ่มที่นอนขวางทางอยู่ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง และเปลี่ยนเอาลูกสุนัขวางไว้บนตัก เขากรอกสายตาไปมาราวกับใช้ความคิดอย่างหนัก พยายามค้นหาจากความทรงจำในวัยเด็กที่เคยมาที่นี่ แต่ก็ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย

“เรื่องอะไรเหรอครับ?”

เห็นท่าทางครุ่นคิดอย่างหนักของหลานชาย หนูเล็กก็อดจะเฉลยคำตอบไม่ได้ รู้อยู่แก่ใจว่ากังหันจำเหตุการณ์นั้นไม่ได้แล้ว

“ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่น่าจดจำหรอก แค่หลงป่าไป 2 วันแล้วก็กลับออกมาได้เอง… เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าจดจำเลย เอาล่ะ! ป้าจัดห้องไว้ที่ชั้นล่างนะ มีระเบียงออกไปสนามหญ้าด้านหลังโรงแรมด้วย เผื่อจะให้เจ้าหมาน้อยออกไปวิ่งเล่นกัน” หนูเล็กเปลี่ยนเรื่องคุย ไม่อยากจะขุดคุ้ยอดีตที่ผิดพลาดของผู้ใหญ่ในหมู่บ้านนี้แต่หลังจากเหตุการณ์หลงป่าของกังหันก็ทำให้คนในหมู่บ้านระมัดระวังและตรวจตราภูเขาบ่อยขึ้น

กังหันลุกขึ้นและจับลูกสุนัขยัดใส่กระเป๋าเสื้อแจ็คเกต ลูบศีรษะเล็กของมันอย่างอ่อนโยนแล้วเงยหน้ามองป้าอีกครั้ง

“เจ้าตัวนี้ยังออกไปวิ่งเล่นเองไม่ได้หรอกครับ ขายังไม่ค่อยแข็งแรงเลย ที่ผมพามาด้วยเพราะไม่อยากทิ้งไว้ให้ที่บ้านดูแล ไม่ค่อยมีใครใส่ใจด้วย… เดี๋ยวมันตายขึ้นมา ผมคงเสียใจแย่เลย”

คุณป้าเจ้าของโรงแรมเก่าแก่ของหมู่บ้านหลุดหัวเราะออกมากับความน่ารักน่าเอ็นดูของหลานชายแล้วจึงเดินนำพาไปยังห้องพักที่เธอเตรียมเอาไว้ให้ เป็นห้องเดิมที่กังหันเคยอยู่เมื่อสิบปีก่อน แค่เห็นประตูห้องก็หวนคิดถึงความทรงจำที่ไม่ว่าจะคิดถึงกี่ครั้งก็ทำให้เผลอยิ้มออกมาได้ทุกครั้ง แต่กังหันคงจะลืมไปหมดแล้ว

“ห้องนี้นะ” หนูเล็กพูดและเปิดประตูไม้สีน้ำตาลออกกว้าง

หลานชายก็เดินเข้ามาในห้องพักแล้วยกยิ้มกว้าง รู้สึกถูกใจกับห้องที่ตัวเองจะต้องพักอยู่ไปตลอดฤดูร้อนนี้ อาจจะเล็กกว่าห้องของเขา แต่ก็สะอาดสะอ้านและยังมีรูปถ่ายวัยเด็กของเขาติดอยู่ข้างผนังห้อง ไม่มีเตียงนอนแต่เป็นที่นอนยัดนุ่นที่คงจะไม่มีโอกาสได้นอนง่ายๆ ในสมัยนี้

กังหันวางลูกสุนัขลงกับโต๊ะเล็กกลางห้องและเลื่อนประตูระเบียงจนเห็นสนามหญ้าขนาดใหญ่พอจะให้จัดกิจกรรมได้ แถมอีกด้านก็ติดกับชายป่าที่มองแล้วชวนให้รู้สึกขนลุกแปลกๆ

อาจจะเป็นเพราะเสียงจักจั่นที่แผดเสียงร้องแข่งกันในยามบ่าย หรือเพราะพุ่มไม้สูงที่ทำให้มองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ในป่า ทำให้รู้สึกเหมือนมีบางอย่างจ้องมองมาที่เขาอยู่ตลอดเวลา แต่ป่าก็ทึบเกินกว่าที่จะมองเห็นสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่และความคิดของเขาก็เตลิดไปเกินจินตนาการ

“กลางวันแสกๆ ไม่มีผีที่ไหนออกมาหรอก” หนูเล็กเอ่ยขึ้น ล้อเลียนกังหันที่ยังคงมองไปที่ชายป่าไม่วางตา

หลานชายผู้มีจินตนาการสูงส่งหันกลับมามองคุณป้าแล้วส่งยิ้มแห้งให้

“แล้วป้าจะให้ผมทำอะไรบ้างครับ?”

“งานทั่วไป…ทำได้ไหม? ต้อนรับลูกค้าที่จะมาเข้าพัก เด็กมหาลัยน่ะอาจจะต้องเป็นเบ้ให้เด็กพวกนั้นหน่อย” หนูเล็กเอ่ยขึ้น

กังหันย่นจมูกอย่างไม่พอใจเล็กน้อย ก็เพราะเขาไม่ชอบให้ใครมาออกคำสั่งกับตัวเอง แถมยังไม่ค่อยรู้เรื่องของหมู่บ้านนี้ด้วย

“อื้อ! พรุ่งนี้ก็เอาจักรยานที่อยู่ข้างหลังห้องครัวออกไปปั่นเล่นดูในหมู่บ้านก่อนก็ได้ เผื่อจะเอาไว้ตอบพวกเด็กๆ ที่กำลังจะมาด้วย ไม่ๆ ถือว่าเป็นงานแรกของกังหันเลยก็แล้วกัน” เจ้าของโรงแรมมอบหมายงานแรกให้หลานชาย แม้ว่าที่นี่จะไม่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัด แต่บรรยากาศและความห่างไกลของมันก็ทำให้มีเด็กจากมหาวิทยาลัยต่างๆ มาจัดกิจรรมบ่อยครั้ง

กังหันพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น เขาเองก็รู้แค่เพียงว่าหมู่บ้านนี้อนุรักษ์บ้านเก่าเท่านั้น ไม่มีความรู้อื่นๆ อีกทั้งแม่ก็ยังกำชับว่าคนในหมู่บ้านเป็นญาติพี่น้องกันหมด เขาควรจะเข้าไปกราบนมัสการเจ้าอาวาสวัดที่เป็นคนขับรถพาแม่และป้าไปเรียนในตัวอำเภอด้วยซ้ำ

“จะสำรวจให้ทั่วหมู่บ้านเลยครับ”

วิถีชีวิตชนบทคงจะแตกต่างกับชีวิตคนเมืองที่กังหันอยู่เหมือนที่เคยเรียนในคาบวิชาสังคม เขาคงจะได้โอกาสพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เพิ่งจะเรียนรู้มา

To be continued.

สามารถติดตามอ่านเนื้อหาทั้งหมดได้ในแอป