ตราบจันทร์กระจ่าง (จบ)

ตอนที่ 1

บทที่ 1

เสียงของห่าฝนที่โหมกระหน่ำลงมาปลุกให้ร่างที่หลับอยู่บนเตียงผืนกว้างกะพริบตาอย่างเชื่องช้าแล้วตื่นขึ้น

เธียรวิชญ์นิ่งอยู่หลายวินาที ก่อนจะพยุงร่างที่อ่อนแรงจากงานอันหนักหน่วงให้หยัดกายขึ้นนั่ง ใบหน้าคมคายเกลี้ยงเกลายังคงง่วงงุนในตอนที่เหลียวมองไปทางบานประตูระเบียงที่เปิดทิ้งไว้ ละอองฝนสาดซัดเข้ามาให้พรมสีน้ำเงินหม่นที่ปูไว้ตรงขอบประตูเปียกชุ่ม ชายหนุ่มหย่อนปลายเท้าสัมผัสกับความนุ่มของพรม ขยับก้าวออกไปยังระเบียงแล้วยืนอยู่อย่างนั้นให้สายฝนอาบชโลมจนเนื้อตัวเปียกปอน

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานมากแค่ไหนแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกเพียงร่างกายที่เริ่มสั่นเทาด้วยความหนาวเย็นที่เข้าเกาะกุม ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมให้ม่านน้ำอาบซึมทั้งร่างกาย นัยน์ตาคมกล้าทอดมองพายุฝนที่ยังคงโหมแรงไร้ที่สิ้นสุด คล้ายห่าฝนที่ร่วงลงจากผืนฟ้ากำลังโกรธเกรี้ยว ซึ่งต่างจากใจของเขามากเหลือเกิน

เธียรวิชญ์รักที่จะได้ฟังเสียงฟ้าร้องคำราม รักม่านน้ำของสายฝนที่ทำให้เขามองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความพร่ามัว

เขาหลงใหลความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวจนถอนตัวไม่ขึ้น…

ม้าว~

แว่วเสียงแมวน้อยร้องแข่งกับห่าฝน และใช่ ตัวอันเปียกปอนของมันกระโดดขึ้นมาบนคานระเบียง ก่อนกระโดดขึ้นมาหยัดยืนอยู่บนไหล่ของชายหนุ่มแล้วคลอเคลียอย่างเอาใจ หากเพราะอย่างนั้นเองจึงทำให้เธียรวิชญ์ตัดสินใจอุ้มมันไว้กับอ้อมแขนแล้วเดินกลับเข้าห้อง ให้ห่าฝนยังคงกระเซ็นซัดเข้ามาภายในโดยไม่คิดปิดประตูระเบียงลง

เขาหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กนุ่มที่อยู่บนชั้นวางเสื้อผ้า ซับกลุ่มน้ำที่เกาะพราวทั่วร่างกายเพียงหมาด ๆ ก่อนย่อกายลงแล้วนั่งกับพื้นพรม เริ่มเช็ดตัวให้แมวน้อยขนสีดำด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู

“คืนนี้ฝนคงไม่หยุดตกง่าย ๆ ละมั้ง”

เสียงทุ้มดังขึ้นเพียงแผ่วเบา เป็นถ้อยคำที่เอ่ยกับแมวดำตัวน้อยที่ซุกหัวของมันเข้ากับผ้าขนหนูอย่างรู้งาน ชายหนุ่มอมยิ้มกับกิริยานั้น ก่อนเหลียวสายตาไปทางนาฬิกาดิจิตอลที่ตั้งอยู่ข้างเตียง

01.28 น.

ดึกขนาดนี้แล้วหรือ…

ห่าฝนและอากาศอาจสร้างให้เขาผลัดเปลี่ยนชุดนอนแล้วกลับไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้าง หากสิ่งที่เธียรวิชญ์ทำกลับเป็นการเช็ดเนื้อตัวให้แห้งแล้วเปลี่ยนชุดใหม่ เขาก้าวเท้าเข้าใกล้ประตูระเบียง ขณะที่กำลังยกมือขึ้นแตะมันหมายจะผลักปิดสนิท บางสิ่งที่เขามองเห็นผ่านการทอดมองฝ่าสายฝนก็กลับทำให้ชะงักนิ่ง

ใครบางคน ใช่ ใครบางคนที่เธียรวิชญ์มองได้ไม่ชัดเจนกำลังเดินอย่างเชื่องช้าอยู่ริมถนนหน้าบ้าน เขาเห็นเพียงผมสีเข้มที่ลู่ลงตามแรงของน้ำที่พร่างพรมวินาทีหนึ่งบางสิ่งทำให้ชายหนุ่มก้าวเท้าออกไปตากพายุฝนอีกครั้ง หากแต่ม่านน้ำที่พร่างลงมานั่นกลับไม่เป็นใจเลยสักนิด

“เดี๋ยว!” ชายหนุ่มอุทาน มองร่างที่จู่ ๆ ก็ทรุดตัวลงนอนกองพื้นด้วยความตกใจ “มาล้มอะไรที่หน้าบ้านฉัน…”

เขาพึมพำ ยังคงทอดมองความเคลื่อนไหวของคนที่นอนนิ่ง ทว่าไม่ว่าจะผ่านไปกี่วินาทีร่างที่มองเห็นเพียงเลือนรางกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้ชายหนุ่มชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนวิ่งลงมาที่ชั้นล่างของบ้าน กดเปิดสวิตช์ไฟให้บ้านสว่างขึ้น คว้าร่มคันใหญ่ที่แขวนไว้กับตู้รองเท้าแล้วเปิดประตูออกไป

ใครคนนั้นยังคงนอนนิ่งอยู่ที่เดิม

ชายหนุ่มสาวเท้าก้าวเดิน ลงฝีเท้ากระทบแอ่งน้ำเล็ก ๆ ที่ทำให้รองเท้ากับเท้าของเขาเปียกเปื้อน ประตูรั้วในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกหนักอึ้งมากเกินกว่าที่จะผลักมันออกในหนเดียว ชายหนุ่มค่อย ๆ เคลื่อนเปิด กระทั่งมันเป็นช่องว่างมากพอจึงก้าวออกมาหยุดยืนด้านนอก หยุดลงที่ข้างตัวคนที่นอนกึ่งตะแคงกึ่งคว่ำนิ่งงัน

“คุณ…คุณ!”

เธียรวิชญ์ตะโกนแข่งกับเสียงของห่าฝนและฟ้าที่ยังร้องคำรามเป็นระยะ มือซ้ายเอื้อมหาแล้วตีเข้าที่ใบหน้าแรง ๆ หมายเรียกสติ หากคนที่หลับตานิ่งก็ยังนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่มีทีท่าจะฟื้นตัวขึ้นเลยสักนิด

ทำยังไงดีล่ะ…เขาถามตัวเองอย่างกังวลใจ ถึงชายหนุ่มจะออกมาดูอาการอย่างนี้แต่ใช่ว่าจะอยากช่วยไว้เสียเมื่อไหร่ เธียรวิชญ์ไม่ใคร่จะให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายในบ้าน ยิ่งเป็นคนแปลกหน้าอย่างนี้แล้วด้วย…

ทว่าใบหน้าซีดเผือดก็กลับทำให้ใจที่ด้านชากวัดแกว่ง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนตัดสินใจวางร่มคันใหญ่ลงกับพื้นในตอนที่มันเริ่มไม่ป้องกันอะไรได้ไปมากกว่ากลุ่มผม เขาช้อนร่างไร้สติขึ้นไว้กับช่วงแขน ออกแรงทั้งหมดที่มีให้คนแปลกหน้าขึ้นพาดกับบ่าผายของเขา

ริมฝีปากหยักเม้มแน่นขณะเอื้อมมือหยิบคันร่ม ค่อย ๆ หยัดกายขึ้นยืนแล้วก้าวเดินอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ศีรษะของคนแปลกหน้าชนเข้ากับขอบประตูรั้วเมื่อก้าวเข้ามาในเขตบ้านได้สำเร็จ ชายหนุ่มจึงปิดประตูแล้วเร่งก้าวฝีเท้าเพื่อไม่ให้ตัวเองและอีกคนต้องเปียกปอนไปมากกว่านี้

เสียงของห่าฝนเบาลงนิดหน่อยเมื่อประตูบ้านปิดลง หยดน้ำร่วงลงจากเรือนกายของคนสองคนที่เปียกชุ่ม เธียรวิชญ์เดินไปยังชุดโซฟาในห้องนั่งเล่น ค่อยๆ วางร่างไร้สติให้นอนลงตามความยาวของเบาะโซฟาก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นกระเบื้องเย็น ลมหายใจหอบน้อย ๆ ขยับร่างให้คลายความเมื่อยเคล็ด ก่อนจะหยัดกายขึ้นยืนแล้วเดินขึ้นชั้นสองของบ้าน หยิบเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่กับชุดของเขาอีกหนึ่งชุดแล้วกลับมาลงอีกครั้ง

“ไม่ได้สติเลยรึไง” เธียรวิชญ์พึมพำ “คุณ…คุณ!”

เรียกอีกครั้ง ทว่าก็ยังคงได้รับเพียงความเงียบงันเป็นการตอบกลับ ชายหนุ่มยืนนิ่งอย่างนั้นอีกหลายวินาทีก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเดี่ยวแล้วมองคนแปลกหน้าอย่างชั่งใจ

ใบหน้ากลมมนของคนที่หลับตานิ่งซีดเผือดราวเลือดทั้งหมดในกายหยุดการไหลเวียน เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินหม่นเหมือนพรมเช็ดเท้าของเขาแนบเนื้อให้ได้มองเห็นถึงการสั่นเทาของร่างกาย เธียรวิชญ์เม้มปากแน่น ทอดมองใบหน้าไร้สีนั่นอีกครั้งก่อนยกมือขึ้นเสยเส้นผมเปียกหมาดอย่างหงุดหงิดใจ

เขาไม่ชอบให้ใครก้าวเข้ามาในตัวบ้านไม่ว่าจะมีสติหรือไม่

เขาไม่ชอบให้ใครก้าวเข้ามาในเขตอบอุ่นที่เขาสร้างขึ้นเพื่อฟูมฟักรักษาความเหนื่อยล้าของตัวเอง

เขาไม่ชอบให้ใคร…ก้าวเข้ามาในความเป็นส่วนตัวที่สุดหวงแหน

เพราะอย่างนั้นแล้วเขาคงต้องรีบจัดการกับคนคนนี้แล้วปลุกขึ้นมาให้ออกไปจากบ้านของเขา อย่างน้อยก็หลังจากที่พายุฝนจบสิ้นลงแล้ว

ใช่ เขาจะทำอย่างนั้น

หากว่าเขาจะทำได้ล่ะก็นะ…

ความรู้สึกหนักอึ้งที่ศีรษะยังผลให้คนที่นอนหลับสนิทตั้งแต่เมื่อคืนกะพริบตาปริบปรือแล้วค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นทีละนิดเพื่อรับแสงสว่างที่สาดกระทบ

สิ่งแรกเมื่อได้สติที่ยังไม่เต็มร้อยนักคือความอุ่นชื้นที่แต้มลงมายังพวงแก้ม และสิ่งนั้นเองที่เรียกสติให้กลับมาโดยสมบูรณ์พร้อมกับร่างทั้งร่างที่สะดุ้งพรวดขึ้นนั่ง ดวงตากลมโตก้มลงมองบางสิ่งที่น่าจะมีชีวิตที่ไหลลื่นจากอกไปนั่งแหมะอยู่บนตักแล้วก็ให้ตกใจสุดกำลัง

“เอ้ย! ม…แมวดำ?”

เสียงแหบอุทานด้วยความตกใจ แต่วินาทีต่อมาก็ผันแปรความตกใจนั้นให้เป็นความเอ็นดูแก่แมวดำตัวน้อย รอยยิ้มแย้มขึ้นบนริมฝีปากซีด มือที่สั่นเล็กน้อยก็เอื้อมไปลูบสัมผัสกับหัวเล็ก ๆ นั่นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นอย่างชอบใจเมื่อเจ้าแมวดำเอียงหัวของมันเข้าคลอเคลียกับฝ่ามือร้อนจัด

จุดสนใจของคนเพิ่งตื่นนอนถูกกระชากอีกครั้งและต้องตกใจมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วมองบริเวณที่ตนเองอยู่และพบว่ามันไม่ใช่ที่ที่คุ้นเคย…และมีใครอีกคนนั่งจ้องเขาด้วยสายตาเรียบนิ่งอยู่น่ะสิ

“ผมดีใจนะที่คุณตื่นแล้ว” น้ำเสียงนั้นไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกตามที่พูดเลยสักนิด

เธียรวิชญ์นั่งกอดอกมองคนแปลกหน้ามาได้ครู่ใหญ่แล้ว ติดจะไม่ชอบใจที่ใครคนนี้เลินเล่อเกินกว่าจะสังเกตว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางหรือไม่ หนำซ้ำจากท่าทางแล้วยังดูไร้เดียงสาเกินกว่าที่เขาจะรับไหว ด้วยใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นผลิยิ้มยามเล่นกับแมวของเขา ตื่นตกใจราวกับเห็นผีเมื่อมองมาเห็นเขาอีก

“เอ้อ…คือ…คือว่า….”

เสียงนั้นดูติดขัดเหมือนกับยังประมวลผลได้ไม่ดีนัก ความรู้สึกมึนงงทั้งยังหนักที่ศีรษะ พ่วงมากับอาการแสบร้อนที่ท้องก็ทำให้คนแปลกหน้าพูดอึก ๆ อักๆ อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เธียรวิชญ์ได้แต่ส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปด้านในของบ้านที่เป็นโซนห้องครัว ก่อนจะออกมาอีกครั้งพร้อมขวดน้ำและขวดยาเล็กๆ

“กินน้ำกินยาแล้วก็ออกจากบ้านผมไปได้แล้วนะ”

ถึงเขาจะยังไม่รู้อะไรเลยก็เถอะว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แต่เขาก็ยังเผลอนิ่วหน้าเล็กน้อยก่อนยื่นมือออกไปรับขวดน้ำและยามาไว้ แต่แทนที่เขาจะกินยาตามคำสั่งเร่งรัดนั้น ชายหนุ่มกลับถือมันไว้นิ่ง ๆ แล้วใช้ดวงตากลมวาวแต่ไร้แววมองเธียรวิชญ์ไม่ให้คลาด นั่นทำให้ชายหนุ่มกระอักกระอ่วนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเขาถอนหายใจยาว เอ่ยปากเป็นคำสั่งเพื่อเร่งอีกฝ่ายอีกหน

“คุณควรรีบกิน”

“แต่ผม…ยังไม่ได้กินข้าวเลยนี่นา”

เธียรวิชญ์พ่นลมหายใจ นี่เขาอุตส่าห์ใจดีหิ้วคนป่วยที่ไหนไม่รู้เข้ามาในบ้าน นั่งเฝ้าจนเขามีสติตื่นขึ้นมาแล้วยังต้องหาข้าวให้กินอีกหรือไง นอกจากจะผิดวิสัยของเธียรวิชญ์เองแล้ว คนตรงหน้าก็เหมือนจะไม่ได้มีความเกรงใจต่อกันเลยหรือยังไงกันนะ

กำลังคิดจะเอ่ยต่อว่าต่อขาน แต่เสียงจ๊อกกกจากท้องของเจ้าของแก้มกลมก็ดังขึ้นจนชายหนุ่มชะงักไป

“บ้านผมไม่มีของกิน”

ไม่ได้โกหกอะไรทั้งสิ้น เธียรวิชญ์ไม่ได้ซื้ออาหารแห้งติดบ้านมาเป็นเดือนแล้ว ปกติหากหิวก็แค่ออกไปหาข้าวกินข้างนอก หรือไม่ก็ฝากท้องไว้ที่บริษัทหรือตามกองถ่ายเท่านั้น อีกทั้งเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ประจำ เธียรวิชญ์ยังมีคอนโดฯที่อยู่ใจกลางเมืองอีกที่หนึ่งที่เขาใช้ชีวิตอยู่กับมันมากกว่า บ้านหลังนี้นานครั้งเท่านั้นถึงจะกลับมา…เฉพาะช่วงเวลาที่ไม่สบายใจและอยากจะอยู่คนเดียว

“อื้อ ไม่เป็นไร” หน้าซีดส่ายไปมาแล้วยกยิ้มแหย “แต่หิวจังเลย…”

พูดง่าย ๆ คือยังไงก็อยากให้เขาหาอะไรให้กินใช่ไหมล่ะ? สายตาเว้าวอนนั่นส่งประกายมาจนชายหนุ่มถึงกับยกมือนวดขมับ ในหัวกำลังใช้ความคิดอย่างหนักกับชายแปลกหน้า “มีแต่อาหารแมว”

“อาหารแมวก็ได้ ผมหิวจะตายอยู่แล้ว เห็นใจผมหน่อยเถอะนะ”

เธียรวิชญ์ขมวดคิ้วในทันที กระทั่งอาหารแมวก็ยอมกินเพื่อประทังความหิวอย่างนั้นหรือ? 

ชายหนุ่มได้แต่ทอดถอนลมหายใจ อุ้มแมวมาคลอเคลียกับใบหน้าก่อนจะวางมันลงบนพื้นแล้วหยัดกายขึ้นยืน เขาเดินขึ้นไปบนห้องอีกครั้งเพื่อหยิบเสื้อผ้าชุดที่ไม่ได้ใส่แล้วกับผ้าขนหนูผืนใหม่เอี่ยมลงมาข้างล่าง วางมันไว้บนโซฟาเดี่ยวที่เจ้าตัวเพิ่งนั่งเมื่อครู่ แล้วพยักพเยิดใบหน้าไปทางคนแปลกหน้าที่ทำหน้าเหมือนใกล้จะตายเต็มที

“งั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ารอแล้วกัน เดี๋ยวผมจะออกไปหาซื้ออะไรมาให้กิน คุณจะได้ออกจากบ้านผมสักที”

คนที่นั่งหมดแรงรีบพยักหน้ารับในทันที ก่อนดวงตากลมโตจะต้องเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจเมื่อพบว่าเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ชิ้นผ้าของเขาฝ่ามือยกขึ้นกำคอเสื้อแล้วดึงมันออก ก้มหน้ามองเสื้อกับกางเกงสลับกันแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองคนที่ง่วนกับการหาทั้งกุญแจรถและกุญแจบ้านแล้วจึงเอ่ยขึ้นเสียงสั่น

“นี่…นี่…ทำไม…ชุดผมหายไปไหนล่ะ แล้วนี่ชุดใคร ชุดคุณเหรอ คุณเปลี่ยนชุดให้ผมเหรอ!?”

เธียรวิชญ์คว้ากุญแจมาไว้กับมือแล้วหันมองบุรุษปริศนาอย่างไร้อารมณ์ “แล้วเห็นใครอยู่ในบ้านรึเปล่าล่ะ”

“คุณ…เห็นแล้วใช่ไหม”

ชายหนุ่มนิ่งไปนิด “เห็นอะไร”

“ก็…ก็…”

“ผมไม่เห็นอะไร ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกัน แต่คุณไม่ใช่คนรู้จักของผม ผมปิดไฟตอนเปลี่ยนชุดให้คุณน่ะไม่ต้องเป็นห่วง”

คล้ายคนป่วยจะทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะคว้าแมวที่กระโดดขึ้นมาบนตักของเขามากอดเอาไว้แน่นราวกับเป็นแมวของตัวเองแล้วจึงมองเธียรวิชญ์ที่เดินออกไปจากบ้าน ทุกอิริยาบถตั้งแต่เดินไปเปิดประตูรั้ว กลับมาขึ้นรถแล้วขับออกไปโดยไม่คิดที่จะปิดประตูอยู่ในสายตาของเขาตลอด

ระบายลมหายใจออกมาอีกครั้ง ดวงตากลมใสกวาดมองไปทั่วบริเวณบ้านที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างเรียบง่ายก็ให้ระบายยิ้มบาง ความทรงจำก่อนที่สติจะดับวูบกลับคืนอีกครั้ง และนั่นทำให้รอยยิ้มที่แต่งแต้มเพียงบางเบาเมื่อครู่ลดลงจนกลายเป็นใบหน้าที่เรียบเฉย

ชายหนุ่มวางแมวลงบนโซฟาอย่างเบามือ หยัดกายขึ้นยืนแล้วคว้าหยิบเอาทั้งเสื้อผ้าและผ้าขนหนูมาพาดไว้กับแขนแล้วมองหาสถานที่ที่น่าจะเป็นห้องน้ำ ก่อนจะพบว่ามันอยู่ถัดเข้าไปติดกับห้องครัวแล้วจึงก้าวเดินอย่างคนไร้แรงเข้าไปในนั้น

เขาถอดเสื้อออกด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว ไฟห้องน้ำที่สว่างขึ้นปรากฏให้เห็นเรือนร่างขาวซีดที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกทำร้าย เปลือกตาอันหนักอึ้งปิดลงเพื่อไม่ต้องทนมองภาพนั้น ค่อย ๆ กลั่นลมหายใจให้เป็นปกติแล้วจึงเดินเข้าไปด้านในอีกนิดเพื่อเปิดฝักบัวให้รินรดร่าง

ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไรต่อไปกับชีวิต…สถานที่ที่จากมาเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาไม่คิดจะกลับไปหามันอีกครั้ง แต่จะทำอย่างไรดีล่ะ…ในเมื่อตอนนี้แม้แต่ตัวเองอยู่ทิศทางไหนของโลกก็ยังไม่รู้เลย เขาไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าควรต้องทำอย่างไรกับตัวเองต่อไป

“ชื่ออะไร”

เธียรวิชญ์ที่มองคนนั่งกินข้าวผัดอยู่นานถามขึ้นอย่างไม่รู้จะทำลายความเงียบที่เข้าโอบคลุมอย่างไร ด้วยคำถามนั้นเองที่ทำให้เจ้าของใบหน้ากลมมนชะงักการกินไปเล็กน้อย ก่อนจะตักข้าวผัดจนพูนช้อนแล้วส่งเข้าปากตัวเองอีกครั้ง แก้มตุ่ยเคี้ยวข้าวให้คนมองคงได้นึกเอ็นดูกันบ้างล่ะ หากใครคนนั้นจะไม่ใช่เธียรวิชญ์

“อืม…” คนกำลังซัดข้าวลงกระเพาะอย่างตั้งใจนึกคิดถึงชื่อของตัวเอง ดวงตากลมใสเสหลบเธียรวิชญ์แล้วจึงเอ่ยขึ้นเบา ๆ เป็นคำตอบ “เมฆครับ”

“ชื่อจริง”

“…ราพิล”

เธียรวิชญ์พยักหน้ารับคำตอบนั้นอย่างไม่ใส่ใจนัก ที่ถามไม่ใช่เพราะอยากรู้จริง ๆ เสียหน่อย แต่ถามเพราะไม่รู้จะคุยอะไรต่างหาก ถึงเขาจะชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว แต่เวลาที่มีใครอยู่ด้วยเขาก็ไม่ชอบความเงียบนักหรอกนะ

ราพิลอย่างนั้นหรือ…จากความรู้สึกของเขาเองกลับคิดว่านั่นไม่ใช่ ไม่ใช่ชื่อที่แท้จริงของชายคนนี้ มองจากแววตาก็รู้แล้วล่ะว่ามีเรื่องปิดบังอยู่

“แล้วคุณล่ะชื่ออะไร”

เมื่อเธียรวิชญ์โดนถามกลับบ้าง เรียวคิ้วจึงเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ ดวงตาคมกล้ามองราพิลอย่างนึกหาความจริงจากดวงตากลมใส แต่เขาก็พบเพียงแค่แววตาไร้เดียงสาที่เหมือนจะบอกผ่านสายตานั้นมาว่าไม่รู้จักเขาจริง ๆ

เพราะอย่างนั้นแล้ว…

“เธียร”

เขาบอกออกไปด้วยเสียงเรียบ สังเกตปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมา หากแต่กลีบปากอิ่มกลับเพียงแค่แย้มยิ้มอย่างยินดีที่ได้รู้จักชื่อของกันและกันก่อนจะหันไปตั้งหน้าตั้งตากับข้าวผัดที่พร่องไปมากโข คล้ายใบหน้ากลม ๆ นั้นจะเกิดรู้สึกเสียดายขึ้นมากะทันหันที่เหลือข้าวเพียงน้อยนิด ดังนั้นราพิลจึงเปลี่ยนจังหวะการเคี้ยวให้เชื่องช้าลงเพื่อให้เม็ดข้าวถูกบดด้วยฟันของเขาอย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น

“…ไม่อิ่ม”

เธียรวิชญ์ซุกหน้าลงกับฝ่ามือ นึกทึ่งในตัวคนตรงหน้าขึ้นมาอย่างไม่ต้องหาเหตุผล ทั้ง ๆ ที่ข้าวผัดสองกล่องกำลังจะหมดลงในไม่ช้า แต่ราพิลก็ยังบ่นออกมาเบา ๆ ให้ชายหนุ่มได้รู้ว่ากระเพาะของผู้ชายคนนี้หินเหล็กขนาดไหน

“ผมซื้อมาเท่านี้ ไม่อิ่มก็คงต้องอิ่มแล้วล่ะ” เธียรวิชญ์ก็จนใจไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกันนี่นะ “อย่าลืมกินยาล่ะ พักสักหน่อยแล้วค่อยไปก็ได้”

คล้ายคนที่เพิ่งรวบช้อนส้อมจะเกิดอาการผะอืดผะอมขึ้นมากะทันหัน เหมือนมีบางสิ่งติดค้างในใจแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยออกมาจนเธียรวิชญ์สังเกตได้ เพราะอย่างนั้นชายหนุ่มจึงเลิกคิ้วเป็นคำถาม เฝ้ารอให้คนที่ไม่ยอมหยิบยามากินเสียทีได้เอ่ยสิ่งที่อยากจะพูด ทว่าเวลาผ่านพ้นไปนับนาทีราพิลก็ไม่พูดอะไรสักที เธียรวิชญ์จึงถอนลมหายใจแล้วหยิบยาที่วางใกล้ ๆ จานข้าวมาไว้ เอื้อมคว้ามือเย็นแล้วยัดยาลงไปอย่างบังคับกัน

“รีบ ๆ กินสักที เงอะงะอยู่ได้”

“ไม่กินได้ไหม”

ราพิลปล่อยทิ้งลงโต๊ะอย่างไม่ได้ตั้งใจ อยู่ ๆ หัวใจก็เต้นถี่รัวขึ้นมาด้วยทั้งสับสนว้าวุ่นและเกิดความกลัวขึ้นจนอึดอัดในอก เธียรวิชญ์ที่เห็นกิริยาอย่างนั้นก็ไม่พอใจ เขาผุดลุกขึ้นยืนแล้วจ้องหน้าราพิลนิ่ง กำลังจะเอ่ยปากต่อว่าก็กลับต้องนิ่งไปเมื่อดวงตากลมใสที่ไร้แววเมื่อครู่กลับกำลังฉายความหวาดกลัวออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด

“คุณ…”

“ไม่ไปได้ไหม คุณเธียร…ผมขออยู่ที่นี่ได้ไหม เดี๋ยวผมจะทำงานบ้านให้ทุกอย่างเองนะ กวาดถูทำความสะอาดอะไรผมก็ทำได้หมดเลย ถึงจะทำกับข้าวไม่เก่งแต่ผมก็จะพยายาม ผมจะฝึกให้เก่ง ๆ คุณเธียรจะได้กินข้าวอร่อย ๆ ไง”

“เดี๋ยวนะ…” ชายหนุ่มยกมือขึ้นปรามคนที่พูดไม่มีหยุดด้วยความงงงวย พร้อมกันนั้นก็ได้พิจารณาท่าทีและร่างกายที่สั่นงันงกราวกับกลัวอะไรบางอย่างไปด้วย

ราพิลดูเหมือนหนูตัวเล็กที่กำลังจะโดนแมวคาบไปทิ้ง ดูไร้หนทางจะก้าวเดิน จนส่วนลึกในหัวใจของเธียรวิชญ์รับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่ส่งผ่านแววตาใสซื่อนั้นเขา…ควรทำอย่างไร “ผมไม่รู้จักคุณมาก่อน อยู่ ๆ จะให้มาอยู่ด้วยมันก็…”

เธียรวิชญ์เว้นคำไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะพิจารณาใบหน้าซีดเผือดนั่นอีกหน ราพิลไม่ได้หลบเลี่ยงที่จะปะทะสายตากับเขา หนำซ้ำยังพยายามส่งความหมายบางอย่างที่ต้องการจะบอกผ่านทางสายตานั้นด้วย คล้ายดวงตากลมใสจะขุ่นลงเล็กน้อย ก่อนที่มันจะแดงก่ำพร้อมน้ำใสที่กลบดวงตาเอาไว้จนระยิบระยับ

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ เขาไม่รู้จะสรรหาคำใดมาโต้แย้งกับคนแปลกหน้าคนนี้ได้อีก อาจจะเป็นเพราะราพิลคล้ายเขาในอดีต…คล้ายมาก จนไม่ต้องรู้ถึงเหตุผลของสิ่งที่กำลังเป็นก็สามารถเข้าใจได้ ในใจของชายหนุ่มกำลังตีกันมั่วไปหมด เขายังอยากจะยึดหลักไม่ให้ใครมายุ่งเกี่ยว ไม่ให้ใครมาข้องแวะ แต่ทว่าอีกใจก็นึกสงสารในท่าทีนั้นขึ้นมาจนอยากจะใจอ่อน

เธียรวิชญ์ควรทำอย่างไร…

“กินยาแล้วพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวผมต้องออกไปข้างนอก ดูบ้านให้ผมด้วยแล้วกัน”

เท่านั้น ดวงตาที่เคยหม่นหมองก็กลับสุกสว่าง หลังมือยกขึ้นปาดน้ำตาที่มันไหลออกมาเองก่อนจะยกยิ้มด้วยความดีใจ คล้ายเธียรวิชญ์จะได้ยินอีกฝ่ายสูดน้ำมูกพร้อมลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอด ก่อนคนที่ดูตัวเล็กกว่าเขาหน่อย ๆ จะลุกขึ้นยืนแล้วหยิบเอาทั้งจานและถุงที่มีกล่องข้าวเปล่า ๆ เดินเข้าห้องครัวไป

เธียรวิชญ์ระบายลมหายใจ เขาไม่เข้าใจในตัวเองและโล่งอกที่ไม่ได้เห็นใครต้องมาร้องไห้ต่อหน้า เสียงจานที่กระทบกันดังลอยมาให้เขาได้ยินจนเผลอยกยิ้ม

ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยเขาจะได้ไม่ต้องปล่อยบ้านหลังนี้ให้ร้างหากจะไม่กลับมา ยังไงเสียบ้านหลังนี้ก็มีเพียงเขาคนเดียวที่อาศัยอยู่ เธียรวิชญ์มีสิทธิ์มีเสียงในการตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียวอยู่แล้วนี่

แต่ที่มากกว่านั้น เขาจะต้องสืบรู้ให้ได้ว่าราพิลคนนี้คือใครมาจากไหน ท่าทีที่ดูลึกลับราวกับไม่ต้องการให้เขาล่วงรู้ไม่ว่าจะเป็นชื่อหรือสิ่งที่พบเจอมาทำให้เธียรวิชญ์สนใจ และบางสิ่งกำลังบอกเขาว่าราพิลคนนี้…ไม่ธรรมดา

“อ๊ะ! คุณเธียร แมวตัวนี้ชื่ออะไรเหรอ? มิ้ว~ น่ารักจังเลย”

เสียงใสส่งคำถามมาให้กันทั้ง ๆ ที่ยังคงล้างจานอยู่ แต่เธียรวิชญ์ไม่ได้ตอบกลับไป เขาเพียงแค่นั่งเท้าคางมองคนที่ง่วนอยู่ในห้องครัวอย่างถือวิสาสะพลางครุ่นคิด เฝ้ามองใบหน้าซีดเซียวจากพิษไข้แล้วก็ให้รู้สึกไหววูบในอก กลีบปากแย้มยิ้มราวกับเมื่อครู่นี้ไม่ได้แสดงความอ่อนแอออกมาให้เขาได้เห็นความร่าเริงที่ฉายออกมาก็ทำให้เธียรวิชญ์ถึงกับกุมขมับ

หวังว่าการตัดสินใจด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบนี้จะไม่ทำให้เขาต้องเดือดร้อน

เธียรวิชญ์ได้แต่ลูบหน้าตัวเอง รู้สึกได้ถึงมวลอากาศที่ทำให้กดดันขึ้นมากะทันหันจนอยากจะนอนลงไปเสียตรงนี้

“คุณเธียร ๆ ดูสิ ๆ “

หืม?

เธียรวิชญ์หันมองตามเสียง ก่อนจะพบว่าเจ้าแมวตัวน้อยของเขาขึ้นไปนั่งบนไหล่ของราพิลอย่างมั่นคง รอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้าดูจะกว้างขึ้นอีกเล็กน้อย และก่อนที่เธียรวิชญ์จะได้เอ่ยถามอะไรออกไป อยู่ ๆ เจ้าของใบหน้ากลมเกลี้ยงก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น เอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วกวักมือหยอย ๆ พร้อมส่งเสียงเมี้ยว ๆ อย่างน่ารักน่าชัง

ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ ด้วย…นี่มันแมวน้อยน่ารักที่ต้องเก็บมาเลี้ยงดูชัด ๆ !

To be continued.

สามารถติดตามอ่านเนื้อหาทั้งหมดได้ในแอป